parallax background
 

หรือชีวิตมีสิ่งที่มากกว่าความสุข

ผู้เขียน: เอกภพ สิทธิวรรณธนะ หมวด: ชีวิตเบ็ดเตล็ด

แปลและเรียบเรียงจาก บทบรรยายจากเวที TED Talk หัวข้อ There's more to life being happy
โดย Emily Esfahani Smith


 

ฉันเคยคิดว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตคือการมีความสุข



ผู้คนต่างพูดว่าความสำเร็จนำมาซึ่งความสุข แต่ฉันพบว่าแม้จะมีงานดีๆ แฟนที่น่ารัก มีอพาร์ตเมนต์ที่สวยงาม แต่ในที่สุดสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่ช่วยให้ความสุขนัก หากยังรู้สึกกังวลและเคว้งคว้าง ฉันไม่ได้รู้สึกเช่นนี้เพียงลำพัง เพื่อนหลายคนก็กำลังเผชิญภาวะเหล่านี้เช่นกัน ด้วยความสงสัย ฉันจึงลงทะเบียนเรียนวิชาจิตวิทยาเชิงบวกเพื่อศึกษาว่า สิ่งใดกันที่ช่วยให้คนมีความสุขอย่างแท้จริง

สิ่งที่ฉันเรียนรู้เปลี่ยนชีวิตของฉันโดยสิ้นเชิง ฉันพบว่าการไล่ตามหาความสุขกลับทำให้คนไม่มีความสุข เรื่องที่น่าตกใจคือ ขณะที่ความเป็นอยู่ของพวกเราดีขึ้นอย่างมาก แต่อัตราการฆ่าตัวตายกลับเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาว ผู้คนรู้สึกหมดหวัง ซึมเศร้า โดดเดี่ยวอ้างว้าง เราสัมผัสถึงสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์ด้วยซ้ำ มีงานวิจัยที่พบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มิใช่เพราะพวกเราขาดความสุข แต่เรากำลังขาดความหมายของการมีชีวิตอยู่

ข้อค้นพบนี้ทำให้ฉันเกิดคำถามว่า “มีอย่างอื่นอีกไหมที่สำคัญกว่าความสุข” "อะไรคือความแตกต่างระหว่างความสุขกับการมีความหมายในชีวิต”

นักจิตวิทยาหลายคนนิยามความสุขว่าหมายถึงภาวะที่สุขสบาย รู้สึกดีในช่วงเวลานั้นๆ แต่ "ความหมาย” (meaning) เป็นสิ่งที่อยู่ลึกกว่า นักจิตวิทยา มาร์ติน เซลิกแมน กล่าวว่า "ความหมาย" จะเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่าง และทำงานอย่างดีที่สุดด้วยสำนึกรับใช้บางสิ่งที่อยู่เหนือพ้นไปจากตัวเรา

เราให้ความสำคัญกับความสุข แต่ฉันเริ่มเห็นว่า การแสวงหาความหมายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเติมเต็มชีวิต งานศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า คนที่เข้าถึงความหมายของชีวิตจะฟื้นตัวจากความทุกข์ได้เร็วกว่า เรียนและทำงานได้ดีกว่า รวมถึงมีอายุยืนยาวกว่า

ถึงตรงนี้ฉันมีคำถามว่า "เราจะเข้าถึงการมีชีวิตอย่างมีความหมายได้อย่างไร” เพื่อจะตอบคำถามนี้ ฉันใช้เวลากว่าห้าปี สัมภาษณ์ผู้คนมากกว่าร้อย อ่านหนังสือจิตวิทยา ประสาทวิทยา และปรัชญาเป็นพันๆ หน้า ฉันพบสิ่งที่เรียกว่า เสาสี่ต้นของชีวิตที่มีความหมาย (four pillars of a meaningful life) เราสามารถสร้างสรรค์ชีวิตที่มีความหมายได้ด้วยการปักเสาต้นใดต้นหนึ่ง หรือจะทุกต้นก็ได้

เสาต้นแรกคือ การเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging) สิ่งนี้มาจากการสร้างสัมพันธภาพระหว่างตัวเรากับสิ่งที่เราให้คุณค่าอย่างแท้จริง เช่น ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม องค์กร หรือชุมชนที่เรารัก การเป็นส่วนหนึ่งที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากความรัก และคุณสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอะไร

ตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้คือ เรื่องของโจนาทาน ทุกเช้า โจนาทานจะซื้อหนังสือพิมพ์จากร้านค้าท้องถิ่นในนิวยอร์ก เจ้าของร้านเป็นคนอัธยาศัยดี ปฏิบัติต่อโจนาทานราวกับเป็นเพื่อนบ้าน แต่ครั้งหนึ่ง โจนาทานไม่มีเศษเหรียญจะซื้อหนังสือพิมพ์ เจ้าของร้านแสดงน้ำใจว่า “โอ้ คุณไม่ต้องจ่ายหรอก แค่นี้เรื่องเล็กน้อย" แต่โจนาทานปฏิเสธที่จะรับหนังสือพิมพ์ฟรีๆ เขาปลีกตัวไปร้านค้าปลีกข้างๆ ซื้อของที่ตัวเองไม่ต้องการเพื่อแลกธนบัตรย่อยมาซื้อหนังสือพิมพ์ เจ้าของร้านหนังสือพิมพ์รู้สึกเสียใจมาก เพราะโจนาทานปฏิเสธน้ำใจของเขา

ฉันคิดว่าเราทุกคนต่างเคยปฏิเสธความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ทางใดทางหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เช่น ฉันอาจเดินผ่านใครบางคนที่ฉันรู้จัก แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ฉันอาจเคยหยิบมือถือขึ้นมาดูระหว่างที่ใครบางคนคุยกับฉันอยู่ การกระทำเหล่านี้ลดทอนความสัมพันธ์กับผู้อื่น ทำให้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับการมองเห็นใส่ใจ และไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะปฏิสัมพันธ์ด้วย แต่เมื่อคุณอยู่กับเขาด้วยความรัก ความสัมพันธ์และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันจะพัฒนาขึ้น

สำหรับใครหลายคน การเป็นส่วนหนึ่งเป็นที่มาของความหมายในชีวิต แต่สำหรับบางคน กุญแจของความหมายแห่งชีวิตอยู่ที่เสาต้นที่สอง นั่นคือ จุดมุ่งหมาย (Purpose)

“จุดมุ่งหมาย" ไม่ใช่เพียงการหางานที่ทำให้คุณมีความสุข ไม่ใช่การบรรลุสิ่งที่คุณต้องการ จุดมุ่งหมายในที่นี้หมายถึง การตั้งใจทำบางสิ่งเพื่อใครบางคน

เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคนหนึ่งบอกฉันว่า จุดมุ่งหมายของเขาคือการช่วยเหลือคนป่วย พ่อแม่หลายคนบอกว่า จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือเลี้ยงลูกให้เติบโต กุญแจสำคัญของจุดมุ่งหมายคือ การใช้ศักยภาพของคุณเพื่อรับใช้ผู้อื่น แน่นอนว่าสำหรับหลายคน การทำงานให้สำเร็จเป็นสิ่งเดียวกับการมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ดังนั้น การตกงาน การขาดการมีส่วนร่วมในงาน จึงไม่ใช่ปัญหาด้านเศรษฐกิจหรืออาชีพเท่านั้น แต่คือปัญหาในระดับการดำรงอยู่ของตัวตน

การทำงานที่เราไม่เห็นว่ามีคุณค่ามากนัก มักทำให้เรารู้สึกด้อยค่า บางครั้งเราจึงอาจหาจุดมุ่งหมายจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่งาน การมีจุดมุ่งหมายเพื่อรับใช้อะไรบางอย่าง จะทำให้คุณรู้สึกถึงแรงขับของชีวิต ทำให้คุณรู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร

เสาแห่งความหมายต้นที่สามคือ การก้าวพ้นตัวตน มันคือภาวะที่คุณก้าวข้ามตัวของคุณเองไปสู่สิ่งอื่นที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง (Transcendence) น้อยครั้งที่เราจะสัมผัสภาวะเช่นนี้ มันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณสัมผัสบางสิ่งที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ ซึ่งมักเป็นเหตุการณ์ที่แตกต่างจากชีวิตประจำวันอันเร่งรีบ ประสบการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณเชื่อมโยงกับความเป็นจริงในระดับที่สูงกว่า บางคนสัมผัสภาวะข้ามพ้นตัวตนผ่านงานศิลปะ บางคนสัมผัสภาวะนี้จากประสบการณ์ทางศาสนา บางคนสัมผัสภาวะนี้เมื่อได้ยืนอยู่บนต้นยูคาลิปตัสยักษ์ที่มีอายุเก่าแก่ สำหรับฉัน ประสบการณ์ข้ามพ้นตัวตนเกิดขึ้นเมื่อทำงานเขียน บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในภาวะไร้กาลเวลาและสถานที่ คุณไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก ประสบการณ์ข้ามพ้นตัวตนจะเปลี่ยนแปลงคุณ

ถัดจากการเป็นส่วนหนึ่ง การมีจุดมุ่งหมาย และการข้ามพ้นตัวตน เสาแห่งความหมายของชีวิตต้นสุดท้ายอาจทำให้คุณประหลาดใจเล็กน้อย เพราะมันคือ การเล่าเรื่อง (Storytelling)

การได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับคุณให้ตัวคุณเองฟัง (ผ่านคนอื่น) จะทำให้คุณรู้สึกชัดเจนในตนเองมากขึ้น มันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าคุณเป็นตัวคุณทุกวันนี้ได้อย่างไร

อันที่จริงแล้ว เราไม่ค่อยตระหนักว่าตัวเราเองนี่แหละ เป็นผู้ประพันธ์ชีวิตของตนเองอยู่ตลอดเวลา ชีวิตไม่ใช่เพียงรายการของเหตุการณ์ที่เอามาเรียงต่อกันเท่านั้น แต่คุณสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไข ให้ความหมาย และเล่าเรื่องชีวิตของคุณในแบบใหม่ได้ ถึงแม้ว่าความจริงจะเป็นเช่นเดิมก็ตาม

ฉันได้พบชายคนหนึ่งชื่อเอเมก้า อดีตนักฟุตบอลซึ่งได้รับบาดเจ็บจนเป็นอัมพาต ตอนป่วยใหม่ๆ เอเมก้า บอกตัวเองว่า "ฉันเคยเป็นนักฟุตบอลที่เก่ง แต่ดูฉันตอนนี้สิ"

ใครก็ตามที่เล่าเรื่องตัวเองว่า "ชีวิตของฉันเคยดี แต่ตอนนี้มันแย่มาก" มีแนวโน้มที่จะมีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า เอเมก้าก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาค่อยๆ เปลี่ยนวิธีเล่าเรื่องของตนเองใหม่ว่า "ก่อนที่ฉันจะบาดเจ็บ ชีวิตของฉันขาดจุดมุ่งหมาย ฉันเอาแต่สังสรรค์และเป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่การบาดเจ็บทำให้ฉันตระหนักว่า ฉันเป็นคนที่ดีกว่านั้นได้"

เอเมก้าเลือกที่จะเล่าเรื่องชีวิตของตนเองในเวอร์ชันใหม่ เรื่องเล่าใหม่นี้ช่วยชีวิตของเขาไว้ หลังจากเขาเปลี่ยนวิธีเล่าเรื่องของตนเอง เอเมก้ากลายเป็นคนให้คำแนะนำแก่เด็กๆ เขาพบจุดมุ่งหมายของตนเองแล้วว่า ชีวิตของเขามีไว้ช่วยเหลือผู้อื่น

นักจิตวิทยา แดน แม็คอดัม เรียกสิ่งนี้ว่า เรื่องเล่าแห่งการไถ่ชำระ ซึ่งมักมีโครงเรื่องว่า "ความชั่วร้ายแปรเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งดีงาม" คนที่ค้นพบความหมายของชีวิต มักจะเล่าเรื่องชีวิตของตนเองในลักษณะนี้ พวกเขาไถ่ชำระชีวิตด้วยการเติบโตและความรัก

ผู้คนจะเปลี่ยนแปลงวิธีประพันธ์ชีวิตใหม่ได้อย่างไรกันเล่า บางคนได้รับการช่วยเหลือจากนักบำบัด แต่คุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงเยียวยาด้วยตนเองได้เช่นกัน ลองใคร่ครวญไตร่ตรองชีวิตของคุณ ทบทวนว่าประสบการณ์ใดที่ทำให้คุณเป็นตัวคุณทุกวันนี้ คุณสูญเสียสิ่งใดบ้าง คุณได้รับสิ่งใด เอมิก้าได้ทำสิ่งเหล่านี้ และเขาก็พบความหมาย

เรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตของคุณใช่ว่าจะเปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน มันอาจใช้เวลาหลายปี และอาจสร้างความเจ็บปวด ความทุกข์ใจ และติดขัดตีบตัน แต่การโอบรับความทรงจำที่เจ็บปวดเหล่านั้น จะนำคุณไปพบปัญญาภายใน และค้นพบความดีงามที่ช่วยรักษาชีวิตของคุณไว้ได้

การเป็นส่วนหนึ่ง การมีจุดมุ่งหมาย การข้ามพ้นตัวตน และการเล่าเรื่องชีวิต คือเสาทั้งสี่ที่ช่วยสร้างสรรค์ความหมายของชีวิต เมื่อฉันเรียนรู้เรื่องนี้ ฉันได้ตระหนักว่า ในวัยเด็ก ชีวิตของฉันรายรอบไปด้วยเสาทั้งสี่นี้โดยบริบูรณ์ เพราะพ่อแม่ของฉันเปิดบ้านจัดกลุ่มเรียนรู้ปรัชญาซูฟี ลัทธิซูฟีคือแนวปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่หลากหลาย ซูฟีจะสนับสนุนให้สมาชิกรับใช้มวลมนุษยชาติด้วยการลงมือทำในสิ่งเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก เช่น การมีความกรุณาต่อคนที่มาทำร้ายคุณ สิ่งเหล่านี้จะช่วยขัดเกลาตัวตนของผู้ปฏิบัติ

หลังจากฉันออกจากบ้านไปเรียนมหาวิทยาลัย ฉันรู้สึกว่าชีวิตกำลังขาดความเชื่อมโยงสัมพันธ์ ขาดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ดังที่เคยได้รับจากกลุ่มซูฟี ฉันจึงเริ่มค้นหาบางสิ่งที่ช่วยให้สัมผัสถึงชีวิตที่มีความหมาย การค้นหานี้ทำให้ฉันเป็นตัวฉันทุกวันนี้

คำอธิบายเกี่ยวกับเสาทั้งสี่แห่งความหมายของชีวิต สามารถอธิบายพฤติกรรมของกลุ่มแก๊ง กลุ่มอันธพาล ได้ด้วย สมาชิกของกลุ่มเหล่านี้ต่างแสวงหาความหมายของชีวิตเช่นกัน พวกเขาสามารถต่อสู้หรือแม้แต่ตายเพื่อกลุ่มได้ เพราะกลุ่มเหล่านี้ให้ความหมายของชีวิตบางอย่างแก่พวกเขา เช่น ความเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน การรับใช้อุดมการณ์ของกลุ่ม พิธีกรรมบางอย่างที่ช่วยให้สมาชิกสัมผัสภาวะข้ามพ้นตัวตน เป็นต้น และนั่นเป็นเหตุผลว่า เราจึงควรออกแบบให้สังคมมีทางเลือกในการเข้าถึงความหมายของชีวิตที่ดีกว่า

การอยู่อย่างมีความหมายไม่ใช่สิ่งที่ได้มาฟรีๆ แต่เป็นกระบวนการทำงานที่ต่อเนื่องทุกๆ วัน เราต่างเป็นผู้สร้างสรรค์ชีวิตของตน เป็นผู้ประพันธ์เรื่องเล่าของตัวเอง แน่นอนว่าบางครั้งชีวิตก็มีหลุมพรางและอาจหลงทางได้

เมื่อใดก็ตามที่ฉันประสบความทุกข์ ฉันจะจำประสบการณ์สำคัญที่ฉันมีร่วมกับพ่อ หลายเดือนหลังจากฉันจบการศึกษา พ่อของฉันเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เขาเกือบจะเสียชีวิตแต่ก็รอดมาได้ เมื่อฉันถามพ่อว่าอะไรทำให้พ่อสามารถเผชิญความตายและรอดชีวิตมาได้ พ่อตอบว่า พ่อปรารถนาที่จะมีชีวิตต่ออย่างแรงกล้าเพื่อดูแลฉันและพี่ของฉัน ความหมายอันแรงกล้านี้ทำให้พ่อสามารถต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตอยู่ และในตอนที่พ่อได้รับยาชาเพื่อผ่าตัด แทนที่พ่อจะนับเลขหนึ่งถึงสิบ ท่านกลับท่องมนตราถึงพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พ่อต้องการกล่าวพระนามของพระองค์เป็นคำสุดท้ายก่อนจะจากโลกนี้ไป

พ่อของฉันเป็นช่างไม้และเป็นซูฟี แม้จะเป็นชีวิตที่มัธยัสถ์แต่ก็เป็นชีวิตที่ดี ในระหว่างการป่วยและเผชิญความตาย พ่อมีเหตุผลที่จะมีชีวิตต่อ พ่อมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว พ่อมีจุดมุ่งหมายที่จะทำหน้าที่พ่อ พ่อสัมผัสภาวะข้ามพ้นตัวตนผ่านการปฏิบัติสมาธิ พ่อบอกว่าสิ่งเหล่านี้เองคือเหตุผลที่พ่อจึงยังคงมีชีวิต และนั่นคือเรื่องเล่าที่พ่อบอกตนเอง

เหล่านี้คือพลังของความหมายแห่งชีวิต ความสุขคือสิ่งที่เข้ามาแล้วก็ผ่านไป แต่สิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมีสวัสดิภาพ แม้จะผ่านอุปสรรคอยู่เสมอๆ ก็คือ การใช้ชีวิตอย่างมีความหมายนั่นเอง

ฟังบรรยายฉบับเต็ม ที่นี่

เกี่ยวกับผู้บรรยาย

Emily Esfahani Smith ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Power of Meaning (พลังแห่งความหมาย) เอมิลีสรุปงานศึกษาและงานสัมภาษณ์ที่เธอเสนอต่อสาธารณะว่า การแสวงหาความหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการไล่ล่าหาความสุขส่วนตน

[seed_social]
17 เมษายน, 2561

เปิดบ้านเฟซบุ๊กแฟนเพจ Peaceful Death

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบัน เฟซบุ๊ก (Facebook) ทำหน้าที่เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร เผยแพร่ข้อมูลความคิดกันอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งองค์กรเพื่อสังคมหรือบริษัทธุรกิจ ยังต้องอาศัยเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์
20 เมษายน, 2561

เรียนรู้จากอาสาข้างเตียง

โครงการอาสาข้างเตียง เครือข่ายพุทธิกา ในปี ๒๕๕๒ มีการจัดกิจกรรมอาสาสมัครเข้าเยี่ยมผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลถึง ๕ รุ่น เป็นทั้งนักศึกษาแพทย์และบุคคลทั่วไป