ผู้เรียบเรียงโดย ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
ความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่เราสามารถ “วางใจ” ให้ถูกที่ เพื่อรับมือกับความเจ็บป่วยแบบไม่เครียดไม่ทุกข์มากนัก และดอกผลจากการดูแลนั้นมักส่งผลทันตาโดยไม่ต้องรอชาติหน้า นั่นคือผู้ป่วยไม่ทุกข์ใจ ส่วนผู้ดูแลได้เรียนรู้มุมมองชีวิตใหม่ๆ ทำให้สามารถวางแผนใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ “อยู่ดีมีสุข”
การเสวนาเรื่อง “อยู่ดีตายดี” โดยสันติภาวัน สถานพำนักภิกษุอาพาธระยะท้าย ที่สวนโมกข์กรุงเทพ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ได้เชิญคนรุ่นใหม่ ทั้งนักร้อง นักแสดง และนักเรียน มาเล่าประสบการณ์และถอดบทเรียนการเรียนรู้จากการดูแลผู้ป่วยในครอบครัว ประกอบด้วย แพท ณปภา ตันตระกูล ผู้ดูแลคุณย่า (แม่) ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์มาเกือบ 20 ปี, อิงค์ วรันธร เปานิล ผู้ดูแลคุณย่าที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งจนสิ้นมา และ ด.ช.จิณณะ จิตภักดี ผู้ดูแลคุณตาป่วยเป็นโรคพาร์คินสันและช่วยดูแลพระอาพาธระยะท้าย
ทุกคนล้วนพูดตรงกันว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลผู้ป่วยคือการดูแลจิตใจ ทั้งใจของผู้ป่วยและผู้ดูแล ซึ่งการดูแลใจนั้น หากมีความรักความห่วงใยเป็นที่ตั้ง ผสมความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำดีต่อกัน ก็จะสามารถช่วยเหลือดูแลกันและกันอย่างมีคุณภาพ มีคุณค่า และมีความหมาย ทั้งต่อคนที่จากไปและคนที่อยู่ข้างหลัง
1
“ดูแลด้วยความรัก” และ “ไม่เป็นไร” คาถาประจำใจของแพท ณปภา
แพท ณปภาเคยดูแลคุณน้าที่ป่วยติดเตียงมาตั้งแต่เธออายุยังไม่เต็ม 10 ขวบ ต่อมาคุณย่าที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่แรกเกิด จนเธอคิดว่าเป็นแม่แท้ๆ ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ขณะอายุ 60 ปี ส่วนเธออายุ 21 ปี ปัจจุบันคุณย่าป่วยมา 17 ปีแล้ว
“การดูแลผู้ป่วยติดเตียงทั่วไปกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์แตกต่างกันมาก ตอนเรา 6-7 ขวบ เราดูแลคุณน้าที่เป็นไข้สูง ชัก สมองไม่ทำงาน กลายเป็นเด็กซน ตอนนั้นผู้ใหญ่ดูแลไม่เป็น จับให้นั่งเฉย ทำให้คุณน้าขาลีบ เป็นผู้ป่วยติดเตียงเต็มตัว เราให้นั่งก็นั่ง ให้กินก็กิน อาบน้ำก็อาบ ไม่ดื้อ แต่คนดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะหนักกว่ามาก เขาจะอาละวาด ช่วงแรกจะหนักที่สุด เพราะเขาเริ่มรู้ตัวว่าลืม แล้วหงุดหงิดว่าทำไมลืม เราโดนกดดัน โดนดุบ่อยๆ เราไม่โอเค แต่ต้องเตือนตัวเองและบอกคนดูแลว่า “เขาป่วย” ถ้าเขาไม่ป่วย เขาจะไม่ทำแบบนี้”
กำลังใจหรือที่พึ่งทางใจเป็นสิ่งที่สำคัญในการดูแลที่ต่อเนื่องยาวนาน แพทบอกว่าสิ่งที่ช่วยประคองใจเธอคือความรักที่มาจากการเลี้ยงดูแบบ “ทำให้ดู” ของผู้เป็นย่า
“พื้นฐานครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ เราได้เรียนรู้จากคุณย่าว่าครอบครัวสมบูรณ์แบบไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก เขาเลี้ยงดูเราด้วยความรัก เราโตมาแบบไม่สมบูรณ์ จนมามีครอบครัวเองก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวสำหรับเราคือการทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดีที่สุด เราแข็งแรงเพราะคุณย่าเลี้ยงเรามาแบบพื้นฐานแน่น คุณย่าพูดมาตลอดว่า “เป็นคนดียาก แต่เชื่อแม่ว่ามันก็ไม่ได้ยากจนเกินไป” จนเราเติบโตมา เราก็รู้สึกว่าเราเข้มแข็ง”
“คุณย่าเคยหยุดหายใจครั้งหนึ่ง ระหว่างไปส่งโรงพยาบาล หยุดหายใจไป 5 นาที เราให้ปั๊ม (หัวใจ) ขึ้นมา สำหรับคนเป็นลูกหลานมันยากมากที่จะบอกว่าไม่ต้องปั๊ม ต่อให้เราเคยสูญเสียมาแล้ว คุณปู่ก็เคยหยุดหายใจ ถึงหมอจะบอกว่าเจ็บ เราก็ปั๊ม เพราะเราทำใจไม่ได้ พอมาเกิดกับย่า เราก็ยังอยู่จุดเดิมคือให้ปั๊ม ปั๊มครั้งเดียวก็ฟื้นมาปกติ ทุกวันนี้คุณย่ายังไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ”
การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีต้องพบกับเหตุการณ์ยากและท้าทายต่างๆ มากมาย บางครั้งต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะ “ปล่อย” หรือ “ยื้อ”
“หมอบอกว่าสุดท้ายเขาจะลืมทุกอย่างแม้กระทั่งการหายใจ มันต้องเกิดขึ้นสักวัน ตอนนี้เราฟีดอาหาร เพราะเขาลืมไปแล้วว่าเคี้ยวอย่างไร ทำให้ไม่สำลัก สุดท้ายเมื่อสมองจะเสื่อมจนลืมการหายใจ เราจะยื้อด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจไปเรื่อยๆ หรือเขาเหนื่อยมามากแล้ว ให้เขาหลับไปสบายๆ นึกถึงเรื่องนี้ทุกวัน แต่ทุกครั้งที่นึกภาพสุดท้ายก็ร้องไห้ทุกครั้ง คิดว่าอยากใช้เวลามากกว่านี้”
แพทบอกว่าสิ่งที่ช่วยให้เธอผ่านมาได้เหมือนคาถาประจำใจคือ “ใจเย็น” และ “ไม่เป็นไร”
“เราใช้คำว่าไม่เป็นไรบ่อยมาก วันที่คุณแม่หยุดหายใจเป็นวันที่เราถ่ายละคร คนทั้งกองรอเราคนเดียว เหลือแค่อีกสองฉากจะเสร็จ ระหว่างนั้นแม่เราหยุดหายใจ ทำยังไง หยุดกองเลยไหม เทกองไปก่อน แล้วค่อยนัดใหม่ แล้วไปหาแม่ แต่แพทก็พูดกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร มีคนดูแม่เราแล้ว แม่เราอยู่กับหมอแล้ว เราไปก็ได้แต่นั่งรอ ไม่เป็นไร ถ่ายให้เสร็จแล้วค่อยไป ผลเหมือนกัน เราทำตรงนี้ก่อนให้คนอื่นไม่ต้องเดือดร้อน นั่นคือแพท นั่นคือสิ่งที่แม่สอน คือให้แต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทำให้เราใจเย็นลงๆ”
ทุกวันนี้แพทยังทำงานการแสดง ดูแลบุตรชาย และไปเยี่ยมคุณย่าที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยทุกครั้งที่ว่างจากงานประจำ
“ทุกอย่างเกิดจากความรัก ถ้าเราไม่รัก เราจะทำไม่ได้ ทุกวันนี้เราก็ยังดูแลท่าน แต่ท่านเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องได้รับการดูแลพิเศษ เราจึงส่งท่านไปอยู่ศูนย์ดูแลที่มีหมอ-พยาบาล 24 ชั่วโมง คุณย่าเพิ่งไปอยู่ศูนย์ได้ 1 ปี หลังจากเราดูแลมา 17 ปี”
คนรุ่นใหม่กับความกตัญญูแบบ “เลี้ยงดูพ่อแม่แก่เฒ่า”
เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่ควรมีมุมมองหรือทัศนคติอย่างไรกับการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว แพทผู้ที่คุณย่าเลี้ยงดูมาตั้งแต่แรกเกิดแบบคนสมัยเก่า ขณะเดียวกันก็ได้สัมผัสความสมัยใหม่เมื่อเข้าสู่วงการนักแสดงและมีลูกเริ่มเป็นวัยรุ่นบอกว่า การใช้ชีวิตและการเจ็บป่วยของผู้เป็นย่า สอนให้เธอมีมุมมองชีวิตและวางแผนชีวิตของตัวเองและครอบครัวที่แตกต่างออกไปจากความคิดความเชื่อเรื่องความกตัญญูแบบคาดหวังให้ลูกหลานดูแลตอนแก่ และเห็นว่า
“คนรุ่นใหม่เขาถกเถียงกันเรื่องกตัญญูแปลว่าอะไร กตัญญูแปลว่าต้องดูแลพ่อแม่หรือ แต่เราเลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่ ไม่กดดัน เราอยากมีลูกเพราะอยากมีคนที่เรารักเพิ่มอีกคน เราก็ควรเลี้ยงแบบที่ควรเป็น ความกตัญญูอยู่ที่ใจ ทุกวันนี้เราไม่ได้บอกว่าเราดีเลิศประเสริฐศรี เป็นลูกกตัญญู แต่เราทำทุกอย่างเพราะเรารักเขา เขาให้เรา เขาเติมเต็มเราทุกอย่าง เรารับรู้ และคุณย่าก็ไม่เคยมาบอกว่า เธอต้องอยู่กับฉันไปจนแก่ เธอต้องดูแลฉัน มันเกิดจากความรัก เราก็ส่งเรื่องนี้ต่อถึงลูก ทำให้เขาดู วันหนึ่งเขาอยากทำก็ทำ แต่ถ้าเขาไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร”
“แพทไม่คาดหวังให้ลูกมาดูแลเรา ถ้าวันนี้คุณย่าพูดได้ เขาคงไม่อยากให้เราเหนื่อย แต่เราทำเพราะเรารักเขามาก ตอนเราดูแลคุณย่าก็ไม่เคยบอกลูกว่า “เห็นไหมแม่ทำอะไร ลูกต้องเป็นแบบนี้ ลูกต้องทำแบบแม่นะ” เราไม่เคยพูดสักครั้งเดียว เราทำให้เขาเห็น ถ้าเขาเห็น เขารักเรามากพอ เขาจะทำ”
“เราเตรียมตัวไว้แล้วว่า วันหนึ่งเราจะไม่เป็นภาระเขา เราทำงานหนักเพื่อดูแลทุกคน รวมถึงตัวเรา ลูกไปใช้ชีวิตของลูกเลย ไม่ต้องห่วงแม่ ขอให้ลูกมีชีวิตที่ดีก็พอ เพราะแม่ได้เตรียมทุกอย่างสำหรับแม่ไว้แล้ว แต่ถ้าหนูรัก หวังดี แล้วอยากทำ ค่อยทำ เขาจะไม่กดดัน ไม่รู้สึกว่าไม่น่าเกิดมาในครอบครัวนี้เลย หรือที่ฉันมีเขาเพราะฉันหวังให้เขามาดูเราตอนแก่ เราเลี้ยงเขาตามธรรมชาติ ปล่อยทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ ไม่กดดัน เหมือนคุณย่าเลี้ยงเรา”
“อาจเป็นเพราะคุณย่าเป็นอัลไซเมอร์ เขาวางแผนการเงินเอาไว้ แต่พอเป็นอัลไซเมอร์ แจกแจงไม่ได้ พี่น้องก็จะมีปัญหา เชื่อว่าถ้าแจงได้ คงจะมีในส่วนนี้แล้ว เราก็เป็นเหมือนเขา วันนี้เรามีส่วนหนึ่งสำหรับดูแลตัวเอง ลูกโตให้เป็นคนดีก็พอ ส่วนแม่เราจัดการตัวเอง”
2
“ใช้เวลากับคนที่เรารักให้คุ้มค่าที่สุด” ดูแลคุณย่าแบบอิงค์ วรันธร
อิงค์เป็นหลานที่สนิทกับคุณย่า เธอนอนกับคุณย่ามาตั้งแต่เด็ก เมื่อผู้เป็นย่าป่วยเป็นมะเร็ง ในฐานะ “หลานคนโปรด” สิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดคือการดูแลจิตใจคุณย่า
“คุณย่าป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แล้วลามไปที่ปอด หายใจไม่สะดวก ต้องเจาะคอ ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดระบาดหนัก ช่วงนั้นไอซียูไม่ยอมให้คนนอกเยี่ยม เราทำได้แค่ไปเกาะกระจกโบกมือ ให้ย่าเขียนหนังสือมาหา เพราะเขาพูดไม่ได้ เราเขียนกระดาษส่งกลับไปมา ให้พยาบาลส่งให้ เราพยายามไปให้มากที่สุด ไปหาทุกวัน ไปเจอแค่ 5-10 นาทีก็ยังดี ในช่วงสุดท้ายคุณย่าได้กลับมารักษาตัวที่บ้าน ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของคนในครอบครัว โดยช่วงก่อนเสียชีวิตคุณย่าป่วยติดเตียงหลายเดือน”
ก่อนจะดูแลใจผู้ป่วยได้ก็ต้องดูแลใจตัวเองก่อน เมื่อคนที่รักเจ็บป่วยเรื่องยากอันดับแรกๆ คือการทำใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจของคนๆ นั้น
“หลายอย่างเปลี่ยนไป เราเคยเห็นเขาเดินได้คล่องแคล่ว เคยทำอะไรด้วยตัวเองได้ ก็ค่อยๆ ทำได้น้อยลง ทานข้าวไม่ได้ ต้องเจาะคอเพื่อให้อาหาร เราต้องยอมรับก่อนว่าคุณย่าเราไม่เหมือนเดิมแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเสียใจ เพราะคนที่เราเคยเห็นเขาทำอะไรด้วยตัวเองมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ต้องทำให้เขาสบายใจที่สุด”
“เราจะพูดคุยให้เป็นปกติที่สุด ให้เขาเครียดน้อยที่สุด เพราะเราเชื่อว่าเขาป่วยกายมาก แต่ใจต้องไม่ป่วยตาม เราทำให้เขารู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างๆ และพร้อมที่จะให้กำลังใจเขาทุกเมื่อ เราจะถามตลอดว่า “ย่าอยากทำอะไร” “ย่าอยากฟังอะไร” โชคดีที่คุณย่าเป็นคนมีธรรมะในใจ เขาชอบฟังธรรมมะ คนในบ้านก็ร่วมฟังและสวดมนต์ไปกับคุณย่าด้วย เราก็ถามว่า “ย่าอยากฟังบทไหน” นั่งฟังด้วยกันคุยกัน ตอนนั้นเรายอมรับกันได้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันนี้คุณย่าต้องจิตใจสงบและว่าง ไม่พูดอะไรกระทบจิตใจ”
“ก่อนวันสุดท้ายเขาเรียกเข้าไปและบอกว่าอยากใส่ชุดสีขาวที่ใส่ไปทำบุญทุกวัน เราเปลี่ยนชุดลูกไม้สีขาวนอนฟังธรรมะด้วยกัน อีกวันหนึ่งเขานอนและหลับไปเลย เราว่าเราดูแลเขาเต็มที่ ทำในสิ่งดีๆ พูดสิ่งดีๆ คิดว่าธรรมะช่วยได้มากๆ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าจิตใจสงบ เราเครียด เสียใจ และเศร้า แต่เวลาเราเดินเข้าไปในห้อง เราไม่แสดงออกเลย เราไม่ร้องไห้เลย ยกเว้นวันสุดท้ายที่คุณย่าใส่ชุดขาวเราไปกอดแล้วร้องไห้ พี่เลี้ยงบอกว่าอย่าร้องไห้ เราก็บอกว่าเราซึ้งที่ย่ามากอด”
การเจ็บป่วยหรือจากไปของคนๆ หนึ่งในครอบครัวมักส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดและคนที่อยู่ข้างหลัง ทำให้เห็นสัจธรรมชีวิตและได้เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อดูแลความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างไร
อิงค์บอกว่าการเจ็บป่วยของคุณย่าสอนบทเรียนและเปิดมุมมองชีวิตใหม่ๆ เช่น เห็นความไม่แน่นอนของชีวิต และเห็นว่าควรให้ความสำคัญกับคนที่เรารักเพราะเขาจะไม่อยู่กับเราตลอดไป ขณะเดียวกันก็มองเห็นสัจธรรมชีวิต และได้เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อดูแลความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวอย่างไร
“เมื่อก่อนคิดว่าทุกคนจะอยู่กับเรา เราละเลยหรือวางใจมากๆ คิดว่าเราไปทำงาน ไม่มีเวลา เดี๋ยวกลับไปก็เจอ (ร้องไห้) แต่พอเจอเรื่องคุณย่าก็เลยรู้ว่าไม่มีอะไรที่แน่นอนในชีวิตจริงๆ พอมาเจอเหตุการณ์นี้รู้สึกว่าเวลาที่มีอยู่มีค่ามากๆ และเราใช้เวลากับคุณย่าอย่างคุ้มที่สุดแล้ว ทุกคนไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต แต่จะทำอย่างไรให้ทำเต็มที่ที่สุดในทุกวัน จะได้ไม่กลับมาเสียใจทีหลังว่า ทำไมวันนั้นเราไม่ทำแบบนี้”
“คุณย่าสอนอะไรเราเยอะ คุณย่าเป็นคนที่เสียสละมากๆ ไม่ค่อยมองถึงความต้องการของตัวเอง เรารู้สึกว่าเขาได้ใช้ชีวิตเพื่อคนรอบข้างและครอบครัวอย่างดีที่สุดแล้ว เขาจะถามว่า อยากกินอะไร อยากทำอะไร วันนี้กินข้าวหรือยัง วันเกิดเราเขาจะมารอที่กลางบ้านเพื่อพูดคำว่า “แฮปปี้เบิร์ดเดย์” ตอนนี้พอโกรธ โมโห หรือพูดไม่ดี เราจะรู้ว่าเราต้องรีบขอโทษหรือพูดสิ่งที่เราจะไม่เสียใจทีหลัง หลังคุณย่าเสีย ใจคนในบ้านเย็นลงมากๆ พูดจากันน่ารักขึ้น โกรธกันทะเลาะกันก็จะพยายามเคลียร์กัน เพราะว่าสุดท้ายแล้วเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะเสียใครไป ทำให้ดีที่สุดกับทุกคน”
“การตายของย่าทำให้คนในบ้านได้คิด คุณพ่อบอกว่าของขวัญที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะให้ลูกได้คือการไม่เจ็บป่วย คุณพ่อบอกว่าจะดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี เราก็ย้อนกลับมาดูตัวเองว่า วันที่เราเจ็บป่วย คนรอบตัวเราก็ทุกข์ใจ เจ็บป่วยใจไปด้วย ตอนเราดูแลคุณย่า ย่าป่วยคนหนึ่งคนในบ้านก็เป็นห่วง เศร้า เครียดไปด้วย เราเลยมองว่า การใช้ชีวิตต่อไปไม่ใช่ดูแลแค่คนรอบตัว เราต้องดูแลตัวเองด้วย ให้ตัวเราไม่เป็นความทุกข์ของคนรอบตัว เรา กลับมาดูแลร่างกายเราให้ดีกว่าเดิม”
“ถ้าได้พร 3 ข้อ เราไม่อยากให้คนรอบตัวทุกข์ ทุกข์ได้ แต่เดินต่อไปเร็วๆ ให้เขาปล่อยวางที่สุดในโมเมนต์นั้น ข้อสอง ถ้าเราต้องเสียชีวิต ก็อยากให้ตัวเองปล่อยวางได้ในตอนนั้น และสุดท้าย อยากให้ทุกคนฟังเพลงเราไปเรื่อยๆ อยากให้ทุกคนจดจำ” อิงค์สรุปมุมมองที่ได้จากการการได้ดูแลคุณย่าในวาระสุดท้าย
3
จิณณะ จิตภักดี…เด็กชายผู้ดูแลใจคุณตาและพระอาพาธ
ช่วงปิดเทอม ด.ช.จิณณะ จิตภักดี หรือ คิดดี มีโอกาสบวชสามเณรภาคฤดูร้อนที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ระยะเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นลาสิกขามาเรียนหนังสือต่อ ต่อมาเจ้าคุณมหาวีระ หรือพระประกาศพุทธกิจ (วีระ อภิวีโร) แห่งคณะตำหนัก วัดบวรฯ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์ป่ามะขาม สถานที่ดูแลพระอาพาธและระยะสุดท้าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ได้แนะนำให้เขาบวชเณรอีกครั้งและชวนให้ไปดูแลพระอาพาธที่สำนักสงฆ์ป่ามะขาม
“ตอนเป็นเณร ผมได้มีโอกาสไปช่วยห้องพระป่วยวิกฤติ เป็นห้องที่แยกออกมาจากพระอาพาธธรรมดา มีพระที่ต้องรับอาหารทางสายยาง พูดไม่ได้ ผมได้ช่วยทำความสะอาดห้อง จัดยา พาไปสรงน้ำ เปลี่ยนผ้าปูที่นอน จัดเตียง เปลี่ยนผ้าอ้อม เตรียมถุงอาหาร ช่วยโกนศีรษะในวันโกน” จิณณะเล่าประสบการณ์ ขณะนั้นเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
จิณณะเป็นคนชอบช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ ก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยดูแลคุณยายที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงให้ทำกายภาพบำบัด และหลังกลับจากดูแลพระอาพาธ เขายังได้ช่วยดูแลคุณตาที่ป่วยเป็นโรคพาร์คินสันอีกด้วย
“ช่วงแรกคุณตาอยู่โรงพยาบาล พอกลับบ้านแล้วก็ต้องไปทำกายภาพที่โรงพยาบาลบ่อยๆ เราได้ไปช่วยจดวิธีการทำกายภาพกลับมาทำที่บ้าน หลังจากนั้นคุณตาเริ่มอาการทรุดลง จนปีที่แล้วติดเตียง เวลาคุณตาไปไหนมาไหนเราก็ช่วยยก ช่วยยกอาบน้ำ ไปให้คุณตาเห็นหน้า ทำให้คุณตามีกำลังใจ และเล่นไวโอลินให้คุณตาฟัง เพราะแต่ก่อนคุณตาเป็นคนชอบฟังเพลงมาก คุณตาจะยิ้มและรู้สึกดีที่ได้ฟังเพลง”
แม้จะเป็นเด็กชายวัยสิบต้นๆ แต่การได้ดูแลผู้ป่วยทั้งที่เป็นญาติและคนไม่รู้จักทำให้จินณะได้ใคร่ครวญและทบทวนเกี่ยวกับชีวิตตัวเองและมองเห็นว่าไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท และควรช่วยเหลือดูแลคนในครอบครัวก็ทำให้เต็มที่ เพื่อที่จะได้ไม่มาเสียใจ
“ตอนดูแลพระอาพาธทำให้เราได้ลองเตรียมใจว่า ถ้าเราโตไปเราก็มีโอกาสเป็นอย่างนั้นได้ ถึงแม้เราจะเป็นเด็ก เราก็มีโอกาสเจ็บหรือตายได้ตลอดเวลา บางทีเดินออกไปก็อาจจะลื่นล้มหัวแตกตายก็ได้”
เมื่อให้โจทย์ว่าถ้าอีก 3 วันจะตาย เขาอยากทำอะไร เขาตอบว่าไปหาครอบครัวเพื่อใช้ชีวิตที่มีความสุขร่วมกัน และเตรียมตัวเอง เตรียมสถานที่ เตรียมสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ไม่ต้องตายแบบลำบาก
จะเห็นได้ว่าจากประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยของคนรุ่นใหม่ทั้ง 3 มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกันคือการให้ความสำคัญกับการดูแลจิตใจผู้ป่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อาศัย “ใจ” และ “เวลา” โดยแทบไม่ต้องพึ่งพาทรัพย์สินเงินทองเลย และแต่ละคนล้วนได้ “รู้” “เห็น” บทเรียนเพื่อเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อการมีชีวิตที่ดีทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง อันเป็นวิถีการการอยู่ดีเพื่อตายดีนั่นเอง