เรียบเรียงโดย ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์
“ข้าวของยังหล่นหายได้ ผู้คนก็สูญหายได้เช่นกัน”
นี่คงเป็นสัจธรรมอันดับต้นๆในชีวิตของมนุษย์ที่ไม่ว่าใครก็รู้อยู่แก่ใจว่าวันหนึ่งของแสนรักแสนหวงของเราต้องสูญหายหรือสิ้นสภาพไป คนที่เรารักก็ต้องตายจากไปได้เช่นกัน บางครั้งเป็นเรื่องที่ทำใจได้ไม่ยาก แต่หลายครั้งกลับทิ้งคราบน้ำตาและบาดแผลร้าวลึกยาวนานหลายสิบปี
“In Loving memory” คือ บริการจัดงานรำลึกผู้วายชนม์ออนไลน์ ดำเนินการโดย I SEE U Contemplative Care กลุ่มจิตอาสาที่ทำภารกิจดูแลผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะท้ายมายาวนานกว่า 5 ปี บริการ In Loving memory เริ่มขึ้นภายใต้สถานการณ์วิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่หลายครอบครัวต้องเผชิญกับการสูญเสียจากลาแบบไม่ทันตั้งตัว บางครอบครัวไม่แม้แต่มีโอกาสจัดพิธีศพให้กับผู้เสียชีวิตด้วยข้อจำกัดของโรคระบาดที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
จุดเริ่มต้นของ In Loving memory
ชัย - อรุณชัย นิติสุพรรัตน์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มจิตอาสา I SEE U Contemplative Care เล่าให้ฟังถึงแนวคิดและที่มาของกิจกรรมว่าเริ่มมาจากช่วงการระบาดของโควิด ที่ได้เห็นคนรอบตัวต้องเจอกับการสูญเสียครั้งใหญ่ บางครอบครัวสูญเสียสมาชิกในบ้านหลายคนในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกัน เห็นข่าวคนป่วยนอนตายในลานจอดรถของรพ.เพราะเข้าถึงการรักษาไม่ทัน สร้างความสะเทือนใจมาก เราจะเห็นว่าพอมีคนในครอบครัวเสียชีวิตกระทันหัน คนที่เหลือในบ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ไปร่วมงานศพก็ไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการวีดีโอคอล หลายคนทำได้เพียงนั่งอยู่ในรถ ส่งคนที่ตนรักขึ้นเมรุอย่างเงียบเชียบว้าเหว่ ทุกอย่างต้องรีบทำและรีบจบ ชีวิตเป็นราวกับหนังสือที่ไม่มีบทสุดท้าย นาทีนั้นผู้คนล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง เราเห็นเขาเจ็บปวดก็ร่วมเจ็บปวดไปกับเขาด้วย ต่อมาจึงได้มีโอกาสหารือกับ อ.เอเชีย (ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ) ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา ว่าจะหาทางทำงานให้กลุ่มคนเหล่านี้อย่างไรดี ที่ทำให้คนในครอบครัวได้มีโอกาสทำอะไรบางอย่างให้แก่คนที่เขารักที่จากไปได้บ้าง จึงเป็นที่มาของกิจกรรมนี้
ในช่วงแรก กิจกรรม In Loving memory ถูกออกแบบไว้หลายรูปแบบ และสถานการณ์โควิดเป็นโจทย์สำคัญทำให้ต้องจัดงานแบบออนไลน์เท่านั้น แต่หลังจากได้ลองทำมาแล้วกลับเห็นข้อดีหลายๆอย่างของการจัดงานออนไลน์คือการ record บรรยากาศทั้งกิจกรรมเอาไว้ กลายเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของครอบครัวที่เก็บไว้ดูได้ชั่วลูกชั่วหลาน สามารถส่งต่อให้กับญาติหรือผู้ที่ไม่มีโอกาสได้มาเข้าร่วมได้รับรู้ แบ่งปันความรู้สึก และยังเป็นจารึกชิ้นสำคัญที่ทำให้อนุชนรุ่นหลังของครอบครัวได้รู้จักปู่ย่าตายาย ได้เห็นความดีงาม และความรักความผูกพันในครอบครัวของตัวเองแม้จะไม่ได้เกิดมาในช่วงเวลาดังกล่าวก็ตาม บางรายบอกว่าพอมีบันทึกนี้ไว้แล้ว เมื่อลูกหลานโตมาจะได้รู้จักว่าปู่ของเขาเป็นคนยังไง สายสัมพันธ์ของครอบครัวจะได้ไม่จางหายไปตามกาลเวลาเหมือนในอดีต
พิธีรำลึกการสูญเสียจำเป็นสำหรับสังคมไทยจริงหรือ?
สังคมไทยไม่เคยชินกับการแสดงความรักหรือความเสียใจนัก อาจเพราะคนไทยถูกสอนมาว่าต้องเก็บความรู้สึก ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ เสียใจ ผิดหวัง หรือแม้กระทั้งความรู้สึกผิดหรือความรู้สึกขอบคุณ ทุกอย่างล้วนต้องเก็บไว้ในใจ ไม่เคยมีพื้นที่ใดๆให้แสดงออกได้อย่างตรงไปตรงมา ความอัดอั้น เจ็บปวดจึงกลายเป็นเรื่องปัจเจกบุคคลที่ต้องจัดการด้วยตัวเอง งานพิธีรำลึกความสูญเสียจึงเป็นพื้นที่สำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังอยู่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกดังกล่าว แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้น พิธีกรรมถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบและวุ่นวาย ทำให้ญาติๆไม่มีโอกาสที่จะคิดทบทวนหรือแสดงความรู้สึกใดเสียด้วยซ้ำ
สุ้ย - วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death กล่าวเสริมว่า ยามที่ความสูญเสียเกิดขึ้นในชีวิต มันจำเป็นมากที่ต้องมีช่วงเวลาแห่งการรับรู้และอยู่กับความสูญเสียนั้นอย่างแท้จริง พิธีกรรมทางศาสนาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ผู้ที่ยังอยู่สามารถก้าวข้ามความสูญเสียนี้ไปได้ง่ายดายขึ้น แต่โควิดได้พรากโอกาสนั้นไปจากพวกเรา ทิ้งความเจ็บปวดและรู้สึกผิดให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีทางเยียวยา
การนำพิธีกรรมมาอยู่ในโลกออนไลน์ แม้ไม่ได้พบเจอตัวต่อหน้า แต่ก็สามารถสร้างความเชื่อมโยงไม่แพ้กัน ยังคงสามารถเป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้แสดงความรู้สึก ความสำนึก การกล่าวขอโทษ ขอบคุณ และส่งความปรารถนาดีให้คนที่จากไปเป็นครั้งสุดท้ายได้ไม่ต่างจากการจัดพิธีแบบปกติ พิธีออนไลน์ใช้เวลาเพียงสั้นๆเพียง 1-1.30 ชั่วโมงเท่านั้น แต่กลับทำหน้าที่ดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์แบบมากกว่างานศพเสียอีก เพราะในงานศพเราใช้เวลายาวนาน 5-7 วัน แต่กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดเตรียมงาน ดูแลแขกเหรื่อ โฟกัสกับลำดับของพิธีกรรมและผู้นำทางศาสนาเสียจนลืมไปว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่อยากจะทำให้ผู้ตายอย่างแท้จริง
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ย่อมมีสถานการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นให้มนุษย์รับมือเสมอ พิธีรำลึกถึงผู้สูญเสียจึงยังคงสำคัญอยู่ไม่ว่าจะเป็นชาติหรือศาสนาใด เพราะนั่นแทบจะเป็นโอกาสเดียวในการเชื่อมโยงผู้คนที่เคยสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้เสียชีวิตให้มีโอกาสแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีความหมายต่อเขา นอกจากจะช่วยให้คนที่ยังอยู่ยอมรับการจากไปได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังทำให้ทำผู้ตายมีบทสุดท้ายของชีวิตที่จบลงอย่างสวยงามสมบูรณ์แบบอีกด้วย
หลังคุณปู่ตายไป บ้านเราก็ไม่มีใครคุยกันอีกเลย
“ตั้งแต่ทำกิจกรรมมา เราประทับใจทุกเคส เพราะไม่มีใครเหมือนกันเลย เราต้องออกแบบงานให้เหมาะสมกับโจทย์และบริบทของเขา แต่มีเคสหนึ่งที่เล่าว่า ตั้งแต่คุณปู่ของเขาจากไป บรรยากาศในบ้านก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” พี่ชัยกล่าวถึงวันที่ได้รับการติดต่อให้จัดพิธีรำลึกถึงการจากไปของครอบครัวหนึ่งที่คุณปู่เสียชีวิตด้วยโควิด และโรคร้ายได้ติดไปยังสมาชิกในบ้านคนอื่นๆด้วย ในวันที่คุณปู่เสียชีวิตลงจำเป็นต้องเผาทันที หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา คนในบ้านแทบไม่พูดจากัน และไม่มีใครพูดถึงคุณปู่อีกเลยแม้กระทั่งในกลุ่มไลน์ครอบครัว วันที่ครอบครัวเข้ามาติดต่อขอใช้บริการ ทีมงานแนะนำให้เริ่มหาตัวแทนสมาชิกเพื่อเขียนประวัติของคุณปู่ บทสนทนาของครอบครัวจึงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ในกลุ่มไลน์เริ่มมีการส่งรูป และประวัติเท่าที่แต่ละคนจะหาได้ พลังงานของความรักและความสามัคคีเริ่มกลับมาแล้วตั้งแต่พิธีกรรมยังไม่เริ่มต้น ในวันงาน ครอบครัวลงความเห็นให้หลานที่อายุน้อยที่สุดเป็นผู้อ่านประวัติคุณปู่ หลังจบงานหลานคนนั้นเองที่บอกว่าถ้าไม่มีงานนี้ คงไม่รู้เลยว่าปู่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน “ผมมองว่ามันเป็นมวลพลังงานอบอุ่นที่อบอวลอยู่ภายในงาน เรารู้ว่าญาติๆ คนไหนรู้สึกอย่างไรกับคุณปู่ได้เลยทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน และทำให้ครอบครัวได้เห็นคนที่ตนเองรักในมุมมองที่รอบด้านได้จริงๆ” พี่ชัยกล่าวทิ้งท้าย
สื่อสารกับครอบครัวอย่างไรดี ในวันที่ต้องใช้บริการ In Loving memory
ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านเห็นด้วยและร่วมจัดงานรำลึกออนไลน์นี้ด้วยกัน หลายคนอาจคิดว่าคนตายไปแล้ว เราจะมาพูดถึงอีกให้เสียบรรยากาศทำไม ทำให้สะเทือนใจกันเปล่าๆ แต่แท้จริงแล้วความสูญเสียมันอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของทุกคน มันไม่เคยจากไปไหน ความสูญเสียครั้งใหญ่ของครอบครัวไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความเจ็บปวดที่ทุกคนในครอบครัวมีร่วมกัน การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนได้ปลอดปล่อย ยอมรับ เยียวยา จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก นอกจากจะช่วยให้คนที่ยังอยู่ได้ผ่านพ้นมันไปได้ง่ายขึ้นแล้วยังเป็นโอกาสดีที่ได้ดูแลใจสมาชิกคนอื่นที่ยังอยู่อีกด้วย ในเบื้องต้น การสื่อสารคงยังเป็นเรื่องยากอยู่บ้าง เนื่องจากยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่อาจต้องเริ่มต้นจากการเปิดใจ ยอมรับพื้นที่ใหม่ๆโดยใช้พื้นฐานของความรักที่เรามีให้แก่ผู้ที่จากไปร่วมกัน
ก้าวแรกสู่การขอใช้บริการ In Loving memory?
การจัดงาน In Loving memory ในขณะนี้จะเป็นการจัดแบบออนไลน์ ใช้เวลาไม่มาก แต่สามารถออกแบบได้ตามบริบทของแต่ละครอบครัว มีการเชิญผู้นำทางศาสนามาทำพิธีไม่ว่าศาสนาใดๆ (หรือทางครอบครัวจะจัดหาผู้นำที่ตนเองนับถือมาเองก็ได้) สามารถจัดงานได้สำหรับสมาชิกทั้งครอบครัว หรือเพียงแค่ 1 คนก็ย่อมได้ เพราะเราเชื่อว่าทุกความสูญเสียมีคุณค่าเสมอ ลักษณะของกิจกรรมสามารถจัดได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานศพหรืองานรำลึกครบรอบการจากไป ไม่ว่าจะเป็นการจากเป็นหรือจากตาย และไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เลี้ยงและสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้จัดยึดถือคือจะไม่ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกอึดอัดหรือกดดัน ไม่สร้างดรามาฟูมฟาย เพราะไม่ใช่ลักษณะของกลุ่มบำบัด แต่เน้นการสร้างพลังงานดีๆให้กับครอบครัวมากกว่า ในกิจกรรมจะครอบคลุมบริการทั้งหมดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในอนาคตวางแผนว่าจะจัดกิจกรรมแบบ on-site ด้วย ซึ่งน่าจะทรงพลังกว่ามาก
เบื้องต้นสามารถติดต่อมาทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ I SEE U Contemplative Care จากนั้นทางทีมงานจะส่งอาสาสมัครที่เหมาะสมไปร่วมรับฟังเพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการและอุปสรรค หลายครั้งพบเจอปัญหาที่ผู้สูงอายุใช้โปรแกรม ZOOM ไม่เป็น หรือคนในครอบครัวไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าจะมีผู้เข้าร่วมกี่คน ทางทีมงานก็ยินดีจัดงานให้ตามความต้องการ
งานอาสาสมัคร-เติมเต็มชีวิต เติมเต็มสังคม
In Loving memory เป็นกิจกรรมของกลุ่ม I SEE U Contemplative Care กลุ่มจิตอาสาที่ไม่แสวงหารายได้ ทุกคนสามารถใช้บริการได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
“งานอาสาสอนให้เห็นหลายอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ชื่อกลุ่ม I SEE U แท้จริงแล้วมีความหมายลึกซึ้งมากนะ เป็นเหมือนการมองเห็นตัวเอง แม้จะไม่ได้สิ่งตอบแทนกลับเป็นเงิน แต่ได้สิ่งที่มีคุณค่ามากกว่ากลับมาแทน พอเราไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน คนก็เปิดใจกับเราง่ายขึ้น เงื่อนไขการทำงานต่างๆ ก็ลดลง ทำให้เราเห็นคุณค่าและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง เห็นว่าเรายังสามารถทำสิ่งดีๆ ได้อีกยิ่งขึ้น In Loving memory ทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ที่งดงามของแต่ละครอบครัว เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้เรียนในห้องเรียนหรือหนังสือเล่มไหน บางงานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่ก็จบลงด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ เราดีใจเสมอที่ได้เห็นพวกเขาบอกตัวเองและคนในครอบครัวว่าจากนี้จะอยู่กับความสูญเสียนี้อย่างไร และจะมูฟออนมันต่อไปอย่างไร” พี่ชัยเล่าให้เราฟังในฐานะคนทำงานจิตอาสา
ในขณะที่พี่สุ้ยก็มีประสบการณ์คล้ายกันในช่วงทำโครงการดูแลใจผู้สูญเสียเล่าว่า “เรารู้สึกได้เลยว่ามันคือการร่วมทุกข์ ยิ่งเราช่วยเหลือเยียวยาเขา มันยิ่งเยียวยาหัวใจเราด้วยนะ ได้เห็นความรัก ความกรุณาที่เราได้ทำเพื่อคนอื่นไปหล่อเลี้ยงสังคมต่อไป ได้เห็นว่าการทำงานอาสามันเป็นพื้นที่ปฏิบัติการที่ทำให้มนุษย์แสดงศักยภาพของความเป็นมนุษย์ให้แก่ผู้อื่น เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล และเงินทองซื้อไม่ได้”
แผลลึก หัวใจสลาย-ก้าวข้ามความเจ็บปวดอย่างไรให้สวยงาม
งานวิจัยหลายชิ้นในต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ไม่สามารถก้าวข้ามความสูญเสียคนที่ตนรักไปได้ รวมทั้งความเสียใจที่ไม่ได้ทำบางสิ่งบางอย่าง หรือความรู้สึกผิดจนไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้จะกลายเป็นความเจ็บป่วยในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโรคทางกายหรือโรคทางจิต ฉะนั้นเราจึงไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกดังกล่าวไปลดทอนศักยภาพความเป็นมนุษย์และพรากความสุขในแต่ละวันไปจากเรา นั่นเพราะมนุษย์ทุกคนย่อมเคยมีประสบการณ์การสูญเสีย แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่อนุญาตให้ความรู้สึกหลังการสูญเสียนั้นได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา การใช้เวลาที่มากพออาจเป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาและทำความเข้าใจบางอย่าง เช่น ความสัมพันธ์ที่มีต่อตัวเองหรือโลกใบนี้ การมีพิธีกรรมรำลึกการสูญเสียจึงเปรียบเสมือนพื้นที่แสดงความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจอย่างเป็นรูปธรรมที่ยอมรับได้ในสังคม และให้ทุกคนรับรู้ร่วมกันว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เราทุกคนสามารถเสียใจ ร้องไห้ ฟูมฟายได้ ไม่จำเป็นต้องเก็บกดอัดแน่นไว้ในหัวใจ หมั่นอนุญาตตัวเองให้ทำงานกับความสูญเสียในชีวิต แล้วมันจะช่วยให้เราอยู่กับประสบการณ์นั้นได้อย่าง healthy มีคุณภาพ เป็นอิสระจากมัน และฟื้นคืนตัวเองขึ้นมาเพื่อดูแลตัวเองในอนาคตและคนรอบข้าง เพราะวิกฤตเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สิ่งหนึ่งที่มนุษย์พึงมีคือ ความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก และความเมตตาต่อตัวเอง หมั่นอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข ปล่อยให้ความสูญเสียเป็นบทเรียน และเมื่อเราผ่านพ้นมันไปได้ มันย่อมคุ้มค่าเสมอ
แม้ในวันนี้ In Loving memory จะยังเป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทยมาก แต่เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือและแบบฝึกหัดบทหนึ่งที่จะค่อยๆพาทุกคนผ่านจุดที่ยากที่สุดของชีวิตไปได้อย่างนุ่มนวล และเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ในการดูแลคนในครอบครัวที่เหลือต่อไป เพราะแท้จริงแล้ว คนที่เรารักไม่เคยจากไปไหน เพียงแค่เปลี่ยนรูปมาอยู่ในรูปแบของความทรงจำเท่านั้นเอง.
หมายเหตุ
บทความจากเวทีเสวนาออนไลน์ Baojai Live
วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565
เวลา 20.00 น.
ทาง Facebook Live เพจ Peaceful Death
วิทยากร คุณอรุณชัย นิติสุพรรัตน์ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม I See U Contemplative Care คุณวรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา
ดำเนินรายการโดย คุณปิญชาดา ผ่องนพคุณ Death Planner
ติดตามชมย้อนหลังได้ที่ https://youtu.be/raEMAy8PiJs