ความรู้เท่าทันความโศกเศร้า

โดย: เอกภพ สิทธิวรรณธนะ
หมวด: ชุมชนกรุณา


 
 

ความรู้เท่าทันความโศกเศร้า (Grief Literacy) ข้อเสนอหลักการและแนวทางการผลิตสื่อ จัดกิจกรรม และพัฒนาเครือข่ายดูแลใจผู้สูญเสียในช่วงวิกฤตโควิด 2564

Key Message

  • การสร้างการรู้เท่าทันความโศกเศร้า Grief Literacy คือการพัฒนาความรู้ ทักษะ และคุณค่าที่สนับสนุนการดูแลความสูญเสียในระดับสังคม
  • โครงการดูแลใจผู้สูญเสีย คือสนับสนุน Grief Literacy หรือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดูแลความสูญเสีย เพื่อประคับประคองให้บุคคลที่เผชิญวิกฤตความสูญเสีย ผ่านพ้นวิกฤตได้
  • การสร้างการรู้เท่าทันความโศกเศร้า เน้นการทำงานในเชิงกว้าง เสริมสมรรถนะของชุมชนให้มีความสามารถในการดูแลความสูญเสียของสมาชิกในชุมชน เน้นการทำงานเชิงส่งเสริมป้องกันมากกว่าการบำบัด


ในช่วงวิกฤตโควิด ประเทศไทยเผชิญความสูญเสียในวงกว้างอย่างฉับพลัน หลายครอบครัวสูญเสียคนใกล้ชิดด้วยโรคโควิดรวมทั้งโรคอื่นๆ ความสูญเสียดังกล่าวนำมาซึ่งปฏิกิริยาที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความโศกเศร้า (Grief)

ความโศกเศร้ามองได้หลายแง่มุม ในมุมจิตวิทยา เราอาจมองว่าความโศกเศร้าคือปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังความสูญเสียของปัจเจกบุคคล ผู้สูญเสียจะใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อรับมือกับความเศร้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยมีปลายทางคือการฟื้นคืนสมดุลชีวิต และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ความเศร้าที่ผิดปกติ เรื้อรัง หรือซับซ้อน จำเป็นต้องรักษาหรือได้รับความช่วยเหลือโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา นักบำบัด

ในทางการแพทย์ อาจมองความโศกเศร้าในมุมของชีววิทยา หรือประสาทวิทยา ความโศกเศร้าอาจรักษาได้ด้วยยาต้านเศร้า เพื่อคืนสมดุลเคมีในสมอง และกลับมาดำเนินชีวิตและทำงานได้ตามปกติ

การมองความเศร้าทั้งสองแง่มุมมีส่วนถูก แต่ก็มีข้อจำกัด เพราะในสถานการณ์โรคระบาดที่คนในสังคมเผชิญความสูญเสียขนานใหญ่ ระบบบริการสาธารณสุขไม่สามารถให้บริการรักษาความเศร้าด้วยนักจิตวิทยา นักบำบัด จิตแพทย์ และยาต้านเศร้าได้เท่านั้น การมองความเศร้าด้วยโมเดลจิตวิทยาและการแพทย์ ยังทำให้ภาระในการดูแลความเศร้าเป็นของ “ผู้ประสบความเศร้า” และ “นักวิชาชีพ” เท่านั้น

จุดยืนของ Compassionate Communities (ชุมชนกรุณา) และ Public Health Palliative Care (สาธารณสุขแห่งการดูแลแบบประคับประคอง) มองว่า การตายและความสูญเสีย เป็นความรับผิดชอบของทุกคน (Everybody’s bussiness) ในชุมชน มิใช่บทบาทของนักวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่งเท่านั้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะฝากไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแล จากการวิจัยยังพบว่า ผู้สูญเสียมักแสวงหาแหล่งสนับสนุนในโมงยามแห่งความสูญเสียจากครอบครัว เพื่อน และผู้ช่วยจัดงานศพ มากกว่านักจิตวิทยา จิตแพทย์ หรืออาสาสมัครหลายเท่า (Aoun, Breen et al. 2015) สมาชิกในชุมชนที่สามารถดูแลความโศกเศร้าของตนเองและผู้อื่นได้ ย่อมทำให้ชุมชนของสมาชิกมีความเข้มแข็ง พร้อมรับมือกับการดูแลการตาย ความสูญเสียมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาความรู้ ทักษะ และคุณค่าที่เอื้อต่อการดูแลความสูญเสีย จำเป็นจะต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดูแลความโศกเศร้า เช่น มีการเรียนรู้ในระบบการศึกษา มีกลุ่มและองค์กรในชุมชนที่ทำงานทั้งทางตรงและทางอ้อมในเรื่องการตายและความสูญเสีย มีนโยบายและทรัพยากรสนับสนุนการดูแลความสูญเสียในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ นี่คือรูปธรรมของการทำให้การดูแลความสูญเสียเป็นความรับผิดชอบของทุกคน

จุดยืนอีกประการหนึ่งของการดูแลความโศกเศร้า คือการมองว่า ความโศกเศร้าสามารถสร้างความทุกข์ทรมานและผลกระทบทางลบทางสุขภาพได้ในทุกมิติ ขณะเดียวกัน หากบุคคลมีความรู้ ทักษะ และคุณค่าสนับสนุนการดูแลความเศร้า ความโศกเศร้านั้นก็จะไม่ก่อทุกข์ที่รุนแรง เรื้อรัง และซับซ้อนมากนัก นอกจากนี้ การรับมือกับความเศร้าที่มีสุขภาวะ ยังช่วยให้บุคคลเติบโตทางวุฒิภาวะ มีความยืดหยุ่น พร้อมรับมือกับความสูญเสียและความไม่แน่นอนของชีวิตได้ การดูแลความโศกเศร้าจึงคลายกับการดูแลความเจ็บป่วยอื่นๆ ที่ชุมชนสามารถช่วยกันป้องกัน บรรเทา และฟื้นฟูได้ มากไปกว่านั้น ผู้ที่สามารถผ่านพ้นและรับมือความโศกเศร้าได้ ย่อมจะมีความเข้าอกเข้าใจผู้โศกเศร้าอื่นๆ และสามารถส่งต่อความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

แนวทางการดูแลความโศกเศร้าเช่นนี้ มิใช่การขจัดความโศกเศร้าให้ปราศนาการไป ซึ่งอาจทำให้เราตกอยู่ในกับดักอีกรูปแบบหนึ่งคือการปฏิเสธความเศร้า การตีตราความเศร้า การเก็บกดความโศกเศร้า ซึ่งยังเป็นรูปแบบการรับมือที่ไม่เอื้อต่อสุขภาวะ และอาจมักจะก่อผลข้างเคียงในรูปแบบอาการทางจิตเวชหรือความเจ็บป่วยทางกายในรูปแบบอื่นๆ นอกจากนี้ สังคมสมัยใหม่ก็มักปฏิเสธความเศร้าอยู่แล้ว เพราะสังคมที่ให้คุณค่ากับความมั่งคั่ง ความสุข ความเยาว์วัย ย่อมจะปฏิเสธการเรียนรู้เกี่ยวกับความตายและการสูญเสีย การดูแลความโศกเศร้า ไม่ได้เป็นความรู้ทั่วไปที่นักเรียนและประชาชนจะได้เรียนรู้ พื้นที่สำหรับเยียวยาและดูแลความเศร้าในสังคมมีอยู่น้อยมาก จำกัดวงแคบในมุมของการปฏิบัติทางศาสนา หรือการให้บริการบำบัดทางจิตวิทยา

ก่อนที่การดูแลความโศกเศร้าจะเป็นประเด็นทางสุขภาพจิตในสังคมสมัยใหม่ ชุมชนเคยมีบทบาทอย่างมากต่อการดูแลความโศกเศร้าผ่านรูปแบบของการมีส่วนร่วมในการจัดงานศพ ซึ่งเป็นกิจกรรมสังคมที่ก่อให้เกิดการรวมกลุ่่มทางสังคมและสนับสนุนทุนทางสังคม (Social Capital) เพื่อช่วยดูแลผู้สูญเสียให้ข้ามพ้นช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของชีวิตไปได้ ประเพณีไว้ทุกข์ การจัดงานบุญอุทิศและงานรำลึก ก็เป็นตัวช่วยทางวัฒนธรรมที่มีพลังมากเช่นกันในการดูแลความโศกเศร้า

แต่ในช่วงวิกฤตโควิด ข้อจำกัดเรื่องการเว้นระยะหว่างทางสังคม (Social Distancing) พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น ภาวะว่างงานขนาดใหญ่ ความแตกต่างระหว่างวัย ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ความแตกต่างด้านรสนิยมการใช้ชีวิต ได้ท้าทายการดูแลความโศกเศร้ามากขึ้น จำเป็นยิ่งที่สังคมควรจะพัฒนาความรู้ ทักษะการดูแล และชุดคุณค่าเกี่ยวกับการดูแลความสูญเสียที่คำนึงถึงความหลากหลายด้านชาติพันธุ์ อายุ เพศภาวะและเพศวิถี ศาสนา และวัฒนธรรมย่อยอื่นๆ ภายใต้ข้อจำกัดของชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)

การพัฒนาชุดความรู้ ทักษะการดูแล และคุณค่าที่เอื้อต่อการดูแลความสูญเสียน้ีเอง คือการพัฒนา “ความรู้เท่าทันความโศกเศร้า” (Grief Litercy) ในระดับสังคม ซึ่งมิใช่เพียง “วิธีแก้ปัญหาความโศกเศร้า” (Grief intervention) ในระดับบุคคล

การรู้เท่าทันความโศกเศร้า คือกระแสความเคลื่อนไหวที่สนับสนุนให้การดูแลแบบประคับประคองเป็นงานในระดับสาธารณสุข ซึ่งสนับสนุนคุณค่าที่เกี่ยวเนื่องกับ สุขภาวะ การสร้างความร่วมมือ ความยึดโยงของชุมชนและสังคม การถักทอทางสังคม การพัฒนาทักษะทางอารมณ์ เพื่อลดผลกระทบด้านลบจากความเหงา ความโดดเดี่ยว การตีตรา การฆ่าตัวตาย (Breen, Kawashima et al. 2020)

 

แนวทางเบื้องต้นในการสร้างความรู้เท่าทันความโศกเศร้าในระดับสังคม ตัวอย่างเช่น

 

การรู้เท่าทันความโศกเศร้า (Grief Literacy) มีจุดยืนในลักษณะเดียวกับ “การรู้เท่าทันความตาย” (Death Litercy)


เอกสารอ้างอิง

Aoun, S. M., Breen, L. J., Howting, D. A., Rumbold, B., McNamara, B., & Hegney, D. (2015). Who Needs Bereavement Support? A Population Based Survey of Bereavement Risk and Support Need. PLOS ONE, 10(3), e0121101. doi:10.1371/journal.pone.0121101
Breen, L. J., Kawashima, D., Joy, K., Cadell, S., Roth, D., Chow, A., & Macdonald, M. E. (2020). Grief literacy: A call to action for compassionate communities. Death Studies, 1-9. doi:10.1080/07481187.2020.1739780


ตัวอย่างเหตุการณ์ (Examplar) ที่สะท้อนว่าสังคมนั้นๆ มีความรู้เท่าทันความโศกเศร้า

การสร้างความรู้เท่าทันความโศกเศร้า เป็นเรื่องเดียวกับ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดูแลความโศกเศร้า ดังนั้น ผู้ทำงานสนับสนุนความรู้เท่าทันความโศกเศร้า ควรตระหนักว่า ภาพดังต่อไปนี้อาจเป็นตัวอย่างเหตุการณ์ที่สะท้อนว่าสังคมมีความรู้เท่าทันความโศกเศร้าแล้ว

  • ขณะที่เพื่อนบ้านกำลังทำอาหารปิกนิกด้วยกัน เพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่าตนเองเป็นอาสาสมัครรับฟังผู้สูญเสีย เพื่อนบ้านอีกคนสนใจถึงงานอาสดังกล่าว และสอบถามวิธีการดูแลความสูญเสียเพิ่มเติม
  • เมื่อเจ้านายของสมชายรู้ว่าภรรยาของสมชายเพิ่งแท้งบุตร เขาจึงอนุญาตสมชายอนุญาตลางานไปดูแลภรรยาที่กำลังสูญเสีย
  • สามีของไอโกะเสียชีวิตไปเมื่อสามวันก่อน เพื่อนบ้านของไอโกะจึงทำกับข้าวมาให้งและถามว่าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่
  • หน่องเป็นชาวพม่าที่ทำงานท่ีแคมป์ก่อสร้าง ชอบเล่นกับสุนัขของสมชาย สมชายถามหน่องว่าทำไมเขาชอบเล่นกับหมา หน่องบอกว่าบ้านของเขาที่พม่าก็เลี้ยงสุนัข แต่เขาไม่ได้เจอมันอีกเลยตั้งแต่อพยพมาทำงานที่ไทย สมชายจึงถามเรื่องราวเกี่ยวกับหน่อง และอนุญาตให้หน่องเล่นกับสุนัขได้ตามอัธยาศรัย
  • จิวเฟิ่น เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศจีน ในชั้นเรียนภาษาจีนเพื่อการสื่อสาร ครูขอให้จิวเฟิ่นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการจัดงานศพในจีน. จิวเฟิ่น เล่าพิธีศพของอากง และการดูแลความโศกเศร้าของครอบครัว เมื่อเล่าจบ เพื่อนๆ ขอบคุณที่เขาแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัว ให้กำลังใจ คาบหน้าครูให้ตัวแทนนักเรียนไทยเล่าเรื่องราวในลักษณะเดียวกัน
  • เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยชั้นเรียนเดียวกันสังเกตว่า จอยสวมเสื้อแขนยาวแม้ในวันที่อากาศร้อน และมีอาการซึม ไม่พูดกับใคร ไม่ร่วมงานกลุ่ม จึงนำเรื่องไปเล่าให้อาจารย์ที่ปรึกษาฟังว่าจอยอาจทำร้ายตัวเอง และมีเรื่องไม่สบายใจ
  • มหาวิทยาลัยเพิ่มการจัดบริการให้คำปรึกษาทั้งออนไลน์และออฟไลน์เป็นสองเท่าในช่วงสถานการณ์โควิด เพื่อดูแลนักเรียนที่มีอาการเครียดและซึมเศร้า
  • ห้องสมุดจัดกิจกรรมเสวนาเรื่องการดูแลความโศกเศร้า หลังจบกิจกรรม ราชิตพูดถึงประสบการณ์จัดการความโศกเศร้าของตัวเองให้สิริฟัง ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลสมาชิกที่ป่วยระยะท้าย การวางแผนดูแลล่วงหน้า การวางแผนงานศพกันต่อ ทั้งสองคนจึงมีความรู้ที่พร้อมมากขึ้นในการดูแลสมาชิกในครอบครัวที่กำลังป่วยเรื้อรัง
  • ฟ้าใส พนักงานคนหนึ่งในบริษัทเสียชีวิตจากโควิด หัวหน้างานจึงจัดกิจกรรมยืนสงบนิ่งไว้อาลัย 1 นาที ในทุกการประชุม เพื่อเป็นการระลึกถึงสมาชิกในบริษัท
  • หลังจากภรรยาของประชาเสียชีวิต ประชาโศกเศร้ามาก พยาบาลแบบประคับประคองปรึกษานักสังคมสงเคราะห์ให้ประชาได้รับเงินสวัสดการชดเชยที่ภรรยาจากไป เพื่อให้เขายังไม่ต้องเร่งกลับไปทำงานขณะที่สภาพจิตใจยังไม่พร้อม
  • หลังจากอิศราสูญเสียลูกหนึ่งสัปดาห์ ต้องตาผู้เป็นเพื่อนไปเยี่ยมเธอที่บ้าน ตั้งใจว่าจะไม่พูดปลอบใจอะไร เพราะไม่มีคำพูดใดปลอบใจเธอได้ ต้องตาไม่หลีกเลี่ยงความเงียบ แต่ปรากฏตัวให้อิศรารู้สึกว่าเธอไม่ได้โดดเดี่ยว และมีคนพร้อมสนับสนุน
  • หลังจากผู้จัดการบริษัทเรียนรู้ว่า ผู้สูญเสียไม่ได้เผชิญความโศกเศร้าเป็นเส้นตรง (ใช่ว่าหลังสูญเสียแล้วจะรู้สึกโศกเศร้ามากที่สุด แล้วความเศร้าจะลดลงไปตามลำดับ) ผู้จัดการจึงอนุญาตให้ผู้ที่รู้สึกสูญเสียลางานได้เมื่อรู้สึกเศร้า โดยไม่ลงโทษหรือตีตราผู้หยุดงานอันเนื่องจากความเศร้า


Bibliography

Aoun, S. M., L. J. Breen, D. A. Howting, B. Rumbold, B. McNamara and D. Hegney (2015). "Who Needs Bereavement Support? A Population Based Survey of Bereavement Risk and Support Need." PLOS ONE 10(3): e0121101.
Breen, L. J., D. Kawashima, K. Joy, S. Cadell, D. Roth, A. Chow and M. E. Macdonald (2020). "Grief literacy: A call to action for compassionate communities." Death Studies: 1-9.

27 สิงหาคม, 2562

งานศพนี้ไม่มีสีดำ สำรวจงานศพที่ออกแบบตามความประสงค์สุดท้ายของผู้เสียชีวิต

ขนบธรรมเนียมในการประกอบพิธีศพมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของมันอยู่เสมอตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งพิธีศพของคนไทยไม่นิยมไว้ทุกข์โดยการแต่งดำล้วน
24 เมษายน, 2562

คนแปลกหน้าในตัวฉัน

ในยามที่ทุกคนตื่น ฉันพยายามฝืนยิ้ม ฝืนทำเหมือนทุกอย่างยังคงปกติ นี่ฉันเอง นี่แม่เอง แต่ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ คนที่อยู่ข้างในไม่ใช่ฉัน
21 เมษายน, 2562

พยาบาลไร้หมวกแต่ไม่ไร้หัวใจ

การถอดหมวกของฉันก็เหมือนการปลดเปลื่องความยึดติดในวิชาชีพทั้งมวลลง และมาดูแลรักษาด้วยการเอาความเป็นมนุษย์ไปสัมผัสกัน