
คุณสุ้ย วรรณา จารุสมบูรณ์ ผู้ดูแลโครงการชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี เป็นสื่อกลางนำตัวแทนของเครือข่ายทำงานต่างๆ จากหลากหลายพื้นที่และบทบาทหน้าที่ เช่น เครือข่ายพุทธิกาหรือธนาคารจิตอาสาที่มีบริบทของคนเมือง กับกลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วย (Care giver) ที่ทำงานในชนบทหรือชุมชน หรือจิตอาสาที่ทำงานในโรงพยาบาล มาร่วมกันถอดบทเรียนการทำงาน แม้ว่าอาจจะมีกลุ่มเป้าหมายการทำงานคล้ายคลึงกันคือ ผู้ป่วย ผู้ดูแล และผู้ป่วยระยะสุดท้าย แต่ที่มาและรูปแบบการทำงานรวมถึงแรงบันดาลใจอาจมีความแตกต่างกัน
ขบวนการอาสาสมัครในสังคมไทยที่ทำงานเรื่องสุขภาพ จะมีกลุ่มที่เป็นทางการ เช่น อาสาสมัครชุมชน (อสม.) มีสมาชิกเป็นล้านคน แต่ชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี มีทั้งอาสาสมัครที่เป็นทางการและไม่ทางการที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำอยู่และพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มใจ ลักษณะการทำงานจึงไม่เป็นทางการและไม่มีแบบแผนการทำงานที่ชัดเจน แต่เป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เรียนรู้จากปัญหาและหาทางออกร่วมกัน ไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนตายตัว จึงเป็นเหมือนชุมชนปฏิบัติการ (Community of Practice) ที่กระบวนการอาสาสมัครทำให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองไปด้วย มีความยืดหยุ่นมากกว่างานอาสาที่เป็นทางการซึ่งต้องมีการชี้วัดผลลัพธ์หรือเป้าหมายที่ต้องบรรลุอย่างชัดเจน
โครงการชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี แบ่งที่มาของงานอาสาเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. เครือข่ายผู้พิการ อดีตข้าราชการ เครือข่ายพุทธิกา ธนาคารจิตอาสา และเครือข่ายโรงพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแรงบันดาลใจและเห็นโอกาสว่า กิจกรรมจิตอาสาช่วยต่อยอดงานที่ทำอยู่ได้ 2. ผู้ประสบปัญหาจากการดูแลผู้ป่วยหรือเป็นผู้ดูแลผู้ป่วย ที่เกิดคำถามว่างานอะไรและคุณค่าแบบไหนที่จะตอบโจทย์ชีวิตของตนเองและเป็นการทำเพื่อผู้อื่น และ 3. กลุ่มที่เห็นปัญหาและต้องการช่วยเหลือ เช่น กลุ่มพระสงฆ์ที่ต้องการดูแลพระอาพาธระยะท้าย จึงพยายามสร้างเครือข่ายพระสงฆ์ในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย และยังมีบางส่วนที่ไม่ได้ต้องการทำงานจิตอาสาโดยตรง แต่เมื่อมีโอกาสได้พัฒนาทักษะ เช่น กลุ่มโค้ชที่เห็นว่าทักษะที่ตนเองมีอยู่ช่วยเหลือคนอื่นได้ จึงรวมตัวกันช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์ รับฟังปัญหา ให้ความเข้าใจ และให้แรงบันดาลใจ
หลักการทำงานจิตอาสาของทุกกลุ่มคือ การที่ทุกคนต้องการพื้นที่ที่มีคุณค่าในตัวเอง ด้านหนึ่งจึงตอบโจทย์ชีวิตของตัวเอง ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนที่ดีขึ้น เข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น กระบวนการจิตอาสาจึงช่วยขัดเกลาตัวเองและทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น เป็นพลังหล่อเลี้ยงให้จิตอาสามีแรงใจในการทำงานและส่งต่อให้คนอื่น สร้างเครือข่ายการทำงานที่เรียนรู้และร่วมมือกันได้
รูปแบบงานอาสาที่แลกเปลี่ยนกันมีหลายอย่าง ได้แก่ 1. เข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยระยะสุดท้ายและครอบครัวโดยตรง มีทั้งที่อยู่ในและนอกโรงพยาบาล 2. การทำงานกับชุมชน ดูว่าชุมชนมีศักยภาพและมีใครทำงานอะไรบ้าง จะมีความหลากหลายของประเด็นและบริบทชุมชนที่แตกต่างกัน 3. การทำงานเป็นเครือข่าย รับอาสาสมัครมาพัฒนาศักยภาพ อบรมให้ความรู้และไปเยี่ยมหรือรับฟังผู้ป่วยในโรงพยาบาล จะมีภารกิจชัดเจน มีการจัดการ การดูแล และระบบพี่เลี้ยง 4. การให้คำปรึกษา เป็นเครือข่ายของกลุ่มที่มีทักษะการรับฟัง การโค้ช แล้วนำไปช่วยเหลือคนที่ต้องการ ไม่ว่าผู้ดูแล ผู้ป่วย บุคลากรสุขภาพ 5. กลุ่มบริจาคสิ่งของและทำงานในพื้นที่ 6. กลุ่มที่มีเครือข่ายงานเชื่อมโยงกับระบบ และ 7. กลุ่มข้าราชการเกษียณที่มีเวลาและอยากทำงานที่มีคุณค่า ซึ่งจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ทักษะสำคัญของคนที่ทำงานอาสาคือ ต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร มีบริบทอย่างไร เช่น บางคนแม้จะเกษียณแต่มาจากหลายตำแหน่งงาน ฝ่ายหัวหน้า ฝ่ายสนับสนุน เป็นต้น การทำงานกับอาสาสมัครต้องเข้าใจความหลากหลายของผู้คน เวลาที่ทำงานในชุมชน ต้องรู้เครือข่ายในชุมชนว่ามีโครงสร้างการเมืองแบบไหน โครงสร้างอำนาจเป็นอย่างไร ใครคือบุคคลสำคัญในชุมชน การเข้าใจบริบทและกระบวนการพูดคุยในกลุ่มจิตอาสาจึงมีความสำคัญ ต้องมีทักษะการรับฟัง มีกระบวนการยอมรับและปรับตัว และยังต้องมีทักษะการเชื่อมโยงให้เห็นภาพรวมและโครงสร้างที่ทำงานอยู่ ซึ่งจะทำให้รู้ว่าเราอยู่ตรงส่วนไหนในภาพใหญ่ ถ้าต้องการให้งานส่งผลกระทบไปถึงภาพใหญ่จะต้องขับเคลื่อนอย่างไร
ส่วนปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้งานอาสาสมัครขยับต่อไปไม่ได้หรือยาก ทุกคนเห็นว่าไม่มีปัญหาที่ซีเรียส แต่มองปัญหาเป็นโอกาสในการเรียนรู้และหาทางออกร่วมกัน ทำให้ต้องคิดใหม่วางแผนใหม่ ประเด็นสำคัญคือเรื่องการบริหารจัดการเรื่องเวลา เพราะงานอาสาเป็นเพียงงานส่วนหนึ่ง แต่ละคนจะมีหน้าที่ประจำอยู่แล้ว เช่น อาสาสมัครบางคนเป็นบุคลากรโรงพยาบาล จึงสร้างข้อตกลงระหว่างอาสาสมัครและชุมชนว่าสามารถเข้าชุมชนหลังเลิกจากงานประจำ เป็นต้น
ปัญหาเรื่องการขาดข้อต่อระหว่างชุมชนกับโรงพยาบาล เครือข่ายจิตอาสาจึงทำหน้าที่เหมือนข้อต่อที่ขาดหายไป ชุมชนกรุณาจึงเป็นส่วนเชื่อมโยงระหว่างชุมชน โรงพยาบาล วัด โรงเรียน
ปัญหาและอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งคือ ความเป็นปัจเจกของอาสามสมัครที่มีความหลากหลาย เช่น จิตอาสาที่มีตัวตนสูงมากจะเกิดการปะทะกัน มีความขัดแย้งในเชิงวิธีคิด ทำให้ต้องสร้างความตกลงการอยู่ร่วมกัน ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากันและกันทั้งอาสาสมัครและชุมชน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการเมืองในชุมชน กลุ่มอำนาจการเมืองเข้ามาซ้อนทับงานที่ทำ ทำให้ต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกันโดยไม่ให้เครือข่ายถูกใช้เป็นเครื่องมือ และในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การทำงานกับชุมชนค่อนข้างยากลำบาก ต้องเข้าใจวิถีชีวิตของคนในชุมชน การทำกิจกรรมต้องไม่กระทบกับปากท้อง เพื่อให้เขาร่วมได้อย่างสบายใจ
การสื่อสารกับชุมชนต้องชัดเจนว่ากลุ่มทำงานคือใคร เป็นอาสาสมัครกลุ่มไหน เพื่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจและไม่สับสนกับกลุ่มอื่นๆ
สุดท้าย การดูแลอาสาสมัครภายในกลุ่ม เป็นเรื่องสำคัญมาก การแลกเปลี่ยนความเห็นการรับฟังกันและกัน และการทำงานจิตอาสาที่ทุกกลุ่มทำคล้ายกันคือ การพูดคุยหรือการถอดบทเรียนเพื่อสะท้อนสิ่งที่ทุกคนเผชิญทั้งหมด ซึ่งจะทำให้งานดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างไม่สะดุด
วันที่ออกอากาศ: 24 มกราคม 2564
ผู้เรียบเรียง: ศิริรุ่ง ศรีสิทธิพิศาลภพ