parallax background
 

จิตอาสาดูแลผู้ป่วย
สิ่งแวดล้อมของโพธิจิต

ผู้เขียน: เอกภพ สิทธิวรรณธนะ หมวด: อาสามีเรื่องเล่า


 

"ทำงานจิตอาสาแล้วมีความสุขค่ะ อะไรๆ ในชีวิตก็ดีขึ้น" คุณสายใจ ใจมั่น จิตอาสาดูแลผู้ป่วยใน “ทีมใส่ใจ...ใจใส” โรงพยาบาลสุรินทร์พูดถึงงานจิตอาสาของตนด้วยใบหน้าสดชื่น เบิกบาน

คำว่า "จิตอาสา" ในปัจจุบัน ดูจะเป็นที่นิยมเรียกขานมากกว่าคำว่า "อาสาสมัคร" ไปเสียแล้ว แม้ทั้งสองคำจะหมายถึงภารกิจการทำงานที่ไม่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงคำว่าจิตอาสาดูจะยกย่องมิติของจิตใจที่เสียสละ มีน้ำใจ ของผู้ทำงานเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนนมากกว่าคำว่าอาสาสมัคร

เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าการให้การดูแลความเจ็บป่วยของผู้ป่วยระยะสุดท้ายจากแพทย์และพยาบาลเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอต่อการดูแลมิติทางจิตใจและจิตวิญญาณ เพราะลำพังการรักษาพยาบาลทางกายที่ต้องอาศัยความรู้ทางวิชาชีพเพียงอย่างเดียวก็ต้องทุ่มเททั้งเวลา แรงกาย แรงใจ อย่างมากแล้ว การให้การดูแลสนับสนุนทางจิตใจจึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยจากคนนอกสถานพยาบาล จิตอาสาดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายจึงเป็นทางออกของสถานการณ์

ทั้งนี้ เพราะจิตอาสาในชุมชนมีความสามารถในหลายด้าน เช่น สามารถจัดสรรเวลาในการดูแลได้มากกว่า มีพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมร่วมกันกับผู้ป่วย ทำให้มีความคุ้นเคยในการพูดคุยและให้การดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นกันเอง สามารถนวดคลายกล้ามเนื้อ มีเวลาในการรับฟังความทุกข์ทั้งกายและใจของผู้ป่วยและญาติได้มากกว่า

ยิ่งผู้ป่วยรักษาตัวในชุมชน โอกาสที่พยาบาลจะเข้ามาให้การดูแลก็ยากขึ้นไปอีก แต่จิตอาสาที่อยู่ในชุมชนเดียวกันย่อมเข้ามาให้การดูแลทางกายในเรื่องพื้นฐานได้มาก

อย่างไรก็ตาม รูปแบบของจิตอาสาในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายก็มีรูปแบบที่หลากหลาย ผู้เขียนจึงรวบรวมการจัดกลุ่มองค์กรจิตอาสาออกเป็นสองกลุ่ม

องค์กรจิตอาสาในชุมชน
หลายท่านคงคุ้นเคยกับ อสม. หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จิตอาสาดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายก็มีการจัดรูปแบบไม่แตกต่างกันมากนัก คืองานส่วนใหญ่จะดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในชุมชน ผู้บริหาร อสม.อาจจัดให้มีงานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นหนึ่งในงานอื่นๆ มีอยู่หลากหลายของอสม. แต่ อสม.ก็มักมีงานประจำอื่นๆ ที่ต้องดูแลมากมายอยู่แล้ว โรงพยาบาลหรือองค์กรชุมชนบางแห่งจึงจัดให้มีองค์กรจิตอาสาสำหรับดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นการเฉพาะ ซึ่งอาจไปรวมอยู่ในงานดูแลผู้สูงอายุ หรืองานดูแลผู้พิการ องค์กรจิตอาสาในชุมชนมักมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ให้การดูแลสนับสนุนและอาจร่วมมือกับโรงพยาบาลในชุมชน เช่น รพ.สต. หรือ รพช.

องค์กรจิตอาสาในโรงพยาบาล
โรงพยาบาลมักประสบกับปัญหาขาดแคลนกำลังในการบริการพื้นฐานแก่ผู้ป่วย การสร้างองค์กรจิตอาสาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาดังกล่าว อาสาดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือ "อาสาข้างเตียง" ก็เป็นงานหนึ่งที่จิตอาสาสามารถทำได้ หลักการสำคัญคือการอยู่เป็นเพื่อนกับผู้ป่วย การรับฟังอย่างลึกซึ้ง การอำนวยความสะดวกช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เช่น การพลิกตะแคงตัวผู้ป่วย การช่วยลงไปซื้อของ การช่วยรับส่งนิมนต์พระสงฆ์ที่จะมารับสังฆทาน เป็นต้น องค์กรลักษณะนี้โรงพยาบาลหรือวอร์ดผู้ป่วยมักเป็นผู้ให้การสนับสนุนจิตอาสาด้วยตนเอง ขอบข่ายการทำงานจึงมักอยู่ในโรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่

จิตอาสาไม่ได้เข้ามาทำงานเพื่อผลประโยชน์ตอบแทนเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้หมายความจิตอาสาจะไม่คาดหวังหรือต้องการการสนับสนุนใดๆ เลย สิ่งสำคัญที่ผู้จัดองค์กรจิตอาสาทั้งในโรงพยาบาลหรือชุมชนจำเป็นคำนึงถึง มีดังต่อไปนี้

การเตรียมพร้อมจิตอาสา
งานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องการความรู้ ทักษะ และทัศนคติเป็นการเฉพาะ จึงต้องมีการอบรมฝึกฝนและประเมินว่าจิตอาสามีความพร้อมอย่างเพียงพอ การดูแลสุขภาพตนเองทั้งร่างกายและจิตใจก็สำคัญมิฉะนั้นจิตอาสาอาจไปเพิ่มภาระและความทุกข์แก่ผู้ป่วยแทนที่จะช่วยแบ่งเบา

การจัดระบบจิตอาสา
เช่นเดียวกับการทำงานอื่นๆ ที่ย่อมต้องมีระบบระเบียบกฎเกณฑ์ แม้ไม่กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ควรสร้างวัฒนธรรมองค์กรของจิตอาสา เช่น ไม่แสวงหาประโยชน์จากผู้ป่วย การรักษาความลับของผู้ป่วย การจัดการให้การเบิกจ่ายมีความโปร่งใสและเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่ออำนวยให้เกิดบรรยากาศที่ดีการทำงานร่วมกันในระยะยาว ผู้ดูแลองค์กรจิตอาสาจำเป็นต้องออกแบบระบบคัดกรอง ระบบตารางการทำงานดูแลผู้ป่วย การสนับสนับสนุนพัฒนา องค์กรจิตอาสาควรมีขนาดที่ไม่ใหญ่โตเกินไปและอยู่วิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้โดยไม่เป็นภาระบีบคั้นผู้ดูแลจนเกินไป

การจัดการทางการเงิน
จิตอาสาไม่ต้องการข้าวของเงินทองจากงานอาสาสมัครในลักษณะ "ทำงานแลกเงิน" แต่องค์กรผู้ดูแลก็ควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสม เช่น ค่าของฝาก ค่าเดินทางบางส่วน กระบวนการตกลงทางการเงินควรอาศัยการมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งในการทำงาน ลดบรรยากาศที่ทำงานแล้วไม่เป็นสุข ความคับข้องใจเรื่องเงินๆ ทองๆ มักจะเป็นชนวนขยายความขัดแย้งในเวลาต่อมา

การสร้างความรับรู้ร่วมกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
จิตอาสามักต้องการการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน หรือโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยสร้างความภาคภูมิใจ ส่งเสริมคุณค่าในตัวเองของจิตอาสา เสื้อทีม ป้ายติดเสื้อ ป้ายทีมงาน เกียรติบัตร สิทธิประโยชน์ในการดูแลสุขภาพเล็กๆ น้อยๆ จากโรงพยาบาล ความเคารพนับถือให้เกียรติจากผู้คนในโรงพยาบาลหรือองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะจากหัวหน้าองค์กรว่าเป็นคนที่เสียสละมีน้ำใจ ตลอดจนความสัมพันธ์กลมเกลียวในทีมงาน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้จิตอาสามีกำลังใจในการทำงานต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

การเรียนรู้ การให้เยียวยาจิตใจซึ่งกันและกัน
คุณสมบัติของมนุษย์อย่างหนึ่งคือความรักในการเรียนรู้ ความรู้ที่จิตอาสาได้รับในเรื่องการดูแลความเจ็บป่วยทั้งทางกายและทางใจเป็นเสมือนกำไรจากการทำงานจิตอาสา นอกจากนี้การทำงานกับผู้ป่วยหรือทำงานเป็นทีมจิตอาสาอาจพบกับความรู้สึกท้อแท้หดหู่ สะเทือนใจ การพูดคุยรับฟังแลกเปลี่ยนสะท้อนความรู้สึกจึงเป็นกระบวนการกลุ่มที่จำเป็นเช่นเดียวกัน

มนุษย์มีศักยภาพที่เมล็ดพันธุ์แห่งความกรุณาในใจจะเบ่งบานเติบโตเป็นต้นไม้แห่งความเอื้ออาทร แต่เมล็ดพันธุ์นั้นต้องการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อเฟื้อ ผู้เขียนเชื่อว่าองค์กรจิตอาสาเป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในการบ่มเพาะความกรุณาในใจของผู้คน ยิ่งทำงานกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ความแก่ เจ็บ ตายได้ปรากฏให้ผู้ดูแลได้เห็นแจ่มชัดด้วยแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาก็ยิ่งมีโอกาสงอกงามเติบโตไปพร้อมๆ กับเมล็ดพันธุ์แห่งความกรุณา

ต้นไม้ที่เติบจากเมล็ดนั้นก็ใช่อื่นใด นอกจากต้นโพธิ์แห่งความรู้ ความตื่น และความเบิกบาน

[seed_social]
18 มกราคม, 2562

สมุดเบาใจ เครื่องมือเตรียมความพร้อมสู่ชีวิตช่วงท้ายที่ปรารถนา

สมุดเบาใจ เป็นสมุดเพื่อให้ระบุความต้องการเกี่ยวกับสุขภาพช่วงสุดท้ายและการตายดี เพื่อให้เจ้าของสมุดได้เตรียมพร้อมทั้งด้านกาย ใจ จิตวิญญาณ และสังคม
1 สิงหาคม, 2561

“โอบรับความเจ็บปวด” วิธีรับมือเมื่อคนรักตายจาก

กระบวนการความโศกเศร้าจากการสูญเสียคนรักนั้นไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว หรือ “ถูกต้อง” เพราะความโศกเศร้าเป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคล บางคนวันนี้ดูดีขึ้น แต่วันต่อมากลับแย่ลง เหมือนลูกตุ้มหรือตุ๊กตาล้มลุกที่เหวี่ยงไปมา
19 เมษายน, 2561

มุมมองจากเบื้องบน เรื่องของยูจีน

ยูจีนอายุ ๗๐ ปี ชีวิตของเขากำลังเข้าใกล้ความตายทุกขณะจากการถูกโรคกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวโจมตีมาตลอดตั้งแต่วัยกลางคน ยาวนานร่วม ๓๐ ปี เขากับภรรยา เบ็ท ได้พูดคุยและรับรู้ร่วมกันมาตลอดว่าชีวิตของเขาอาจไม่ยืนยาวนักเนื่องจากระบบการทำงานของหัวใจพร้อมจะล้มเหลวได้ตลอดเวลา