
คุณสุ้ย วรรณา จารุสมบูรณ์ ผู้ให้คำปรึกษาเรื่องถอดบทเรียนการจัดการของกลุ่มอาสาสมัครให้คำปรึกษาผู้ป่วยหรือผู้ดูแลในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เนื่องจากพบว่าสังคมปั่นป่วน ผู้ป่วย ผู้ดูแล และบุคลากรสายสุขภาพ มีความเครียดและความกังวลมาก หลายหน่วยงานจึงลุกขึ้นมาทำเรื่อง “การรับฟังและให้คำปรึกษา”
การถอดบทเรียนกระบวนการจิตอาสาการให้คำปรึกษาระหว่างหลายหน่วยงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จะมีทั้งกลุ่มผู้ป่วย ผู้ดูแล และบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ บุคลากรโรงพยาบาล ผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง กลุ่มมะเร็ง จิตเวช ผู้ป่วยระยะท้าย และองค์กรอิสระหรือองค์กรเอกชนที่ให้คำปรึกษาในรูปแบบกิจกรรมหรือโครงการ เช่น เพื่อนช่วยรับฟัง ของมูลนิธิสายใยครอบครัว, Art for Cancer เป็นต้น และยังมีกลุ่มเครือข่ายชุมชนกรุณา กลุ่มคุยด้วยไมตรีที่ให้คำปรึกษาทางใจ เป็นต้น
จากการถอดบทเรียนพบว่า รูปแบบของการให้คำปรึกษาในเครือข่ายมี 3 แบบ ได้แก่ 1. การให้คำปรึกษาโดยบุคลากรสุขภาพในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล บางกลุ่มทำหน้าที่ให้คำปรึกษาอยู่แล้ว เช่น กลุ่มที่ทำงานกับผู้ป่วยจิตเวช หรือกลุ่มเปราะบางต่างๆ ในโรงพยาบาล กลุ่มผู้ป่วยระยะท้าย กลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง เป็นต้น 2. กลุ่มให้คำปรึกษาผ่านให้การรับฟัง แบ่งเป็น 2.1 พูดคุยต่อหน้า (face to face) และ 2.2 การให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ เช่น การคุยด้วยไมตรีจะเป็นการนัดหมายให้คำปรึกษาแบบออนไลน์ เป็นต้น และ 3. การให้คำปรึกษาแบบกิจกรรมกลุ่ม 4-5 คน เป็นกลุ่มบำบัด เช่น การเล่นการ์ดเกม หรือการอบรมที่มีการให้คำปรึกษาไปด้วย เป็นต้น
แทบทุกกลุ่มจะให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนใหญ่มองว่ากิจกรรมต่างๆ เป็นประโยชน์ ช่วยให้ผู้รับบริการคลี่คลายปัญหาหรือมีทางเลือกในการดำเนินชีวิต
กระบวนการให้คำปรึกษาแต่ละรูปแบบมีความเข้มข้นหลายระดับ ระดับแรกอาจไม่ถึงขนาดเป็นการให้คำปรึกษา เป็นเพียงแค่ “การรับฟัง” แบบกลุ่ม แบบเดี่ยว แบะรับฟังทางโทรศัพท์ การรับฟังทำให้ผู้รับบริการหลายคนรู้สึกดีขึ้น เหมือนมีคนให้ความสนใจ ให้ความเข้าใจ มีคนรับรู้ความทุกข์ของผู้ขอคำปรึกษา
ระดับต่อมา บางกรณีที่เป็นกลุ่มผู้เปราะบาง เช่น ผู้ป่วยมะเร็งแต่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้วย จะทำให้รู้สึกเหมือนเพื่อนร่วมทางที่เข้าถึง เข้าใจ มีหัวอกเดียวกัน การให้คำปรึกษาจึงไม่ใช่เพียงแค่การรับฟัง แต่เริ่มให้กำลังใจกันและกัน เริ่มแนะแนวทางการดำเนินชีวิต เป็นเพื่อนคู่คิด เพราะมีข้อมูลจากประสบการณ์ที่ผ่านมา บางกรณีโดยเฉพาะในโรงพยาบาลพบว่า นอกจากการให้คำปรึกษาแล้ว ผู้ให้คำปรึกษายังให้ข้อมูลและช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่ช่วยคลี่คลายปัญหาของผู้ป่วยได้ด้วย เช่น กลุ่มผู้ป่วยระยะท้ายที่ได้รับกำลังใจ การรับฟัง และแนวทางว่าถ้าเลือกกลับไปพักที่บ้าน จะต้องเผชิญหรือต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง เป็นต้น
การถอดบทเรียนกระบวนการให้คำปรึกษาพบว่า การทำกิจกรรมดังกล่าวไม่ได้จบลงที่การพูดคุยหรือรับฟัง แต่เป็นการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย การที่ผู้ป่วยมีพื้นที่บอกเล่า ทำให้เขาเรียนรู้ เห็นทางเลือกและทางออกของสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ด้วยตนเองได้
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของการให้คำปรึกษาคือ ความคาดหวังจากผู้ขอคำปรึกษาในบางกรณีที่ผู้ให้คำปรึกษามีประสบการณ์ร่วม เช่น เป็นผู้ป่วยมะเร็งหรือบุคลากรสุขภาพ มักจะถูกคาดคั้นให้ต้องมีข้อเสนอหรือทางออก เป็นการกดดันและสร้างความลำบากใจแก่ผู้รับฟัง เป็นต้น ดังนั้น หลักการให้คำปรึกษาจึงขึ้นอยู่กับการวางบทบาทของผู้ให้คำปรึกษาให้เหมาะสมว่าอยู่ตรงจุดไหน และกำลังทำอะไร
อุปสรรคหลักอีกอย่างหนึ่งของการเข้าถึงคำปรึกษา คือค่านิยมหรือความเชื่อว่า การไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อขอคำปรึกษาเมื่อประสบกับปัญหา แปลว่าผู้ขอคำปรึกษาอ่อนแอ จัดการตัวเองไม่ได้ หรือล้มเหลว อย่างเช่น บุคลากรสุขภาพในช่วงโควิด-19 หลายคนต้องการการรับฟัง แต่เลือกที่จะไม่ใช้หรือเข้ามาใช้น้อย เพราะเกรงจะถูกมองว่าดูแลความเครียดของตัวเองไม่ได้ บกพร่อง หรือไม่ดีพอ จึงเสียโอกาสที่จะได้รับการดูแล หรือญาติผู้ป่วยไม่รู้ว่ามีบริการให้คำปรึกษ คนที่เข้ารับการปรึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจมา แต่เนื่องจากมีปัญหาและต้องการคลี่คลาย จึงนำไปสู่กระบวนการให้คำปรึกษา
ความท้าทายของกระบวนการให้คำปรึกษาคือ ผู้รับบริการที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก พร้อมจะพรั่งพรูรายละเอียดอย่างยาวนาน ความต้องการพื้นที่รับฟังทำให้ยากที่ผู้รับฟังจะตัดบทสนทนา จึงต้องสละเวลาให้คำปรึกษานาน ดังนั้นต้องตกลงเรื่องขอบเขตการให้คำปรึกษากันตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ กระบวนกรชุมชนที่ทำงานกับความทุกข์ ความเจ็บปวด เสนอเรื่องการดูแลตัวเอง โดยการมีมุมมองของธรรมะ การเข้าอกเข้าใจ คิดเป็นเหตุเป็นผล อาจด้วยการไปปฏิบัติธรรม ใช้ศิลปะบำบัด การมีคนสักคนรับฟัง การมีกลุ่มสนับสนุนที่ให้ข้อเสนอแนะเมื่อเจอสถานการณ์ต่างๆ ช่วยทำให้กระบวนกรเรียนรู้ มีมุมมองที่กว้างขึ้น ปรับตัว และให้บริการดีขึ้น ที่สำคัญคือ การมีมุมมองว่า “มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง” หรือ “มนุษย์สามารถคลี่คลายหาทางออกจากทุกข์ด้วยตนเอง” จะทำให้กระบวนกรเคารพความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนและรับฟังโดยไม่ไปตัดสิน
วันที่ออกอากาศ: 31 มกราคม 2564
ผู้เรียบเรียง: ศิริรุ่ง ศรีสิทธิพิศาลภพ