![](https://peacefuldeath.co/wp-content/uploads/2018/04/Feature-62.png)
![parallax background](http://peacefuldeath.co/wp-content/uploads/2018/04/header-42.png)
ความเคลื่อนไหว เรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในมาเลเซีย
ผู้เขียน: นภนาท อนุพงศ์พัฒน์ หมวด: ในชีวิตและความตาย
![ความเคลื่อนไหว เรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในมาเลเซีย](http://peacefuldeath.co/wp-content/uploads/2015/12/home_blogger2_sep2.png)
กล่าวกันว่า รากฐานเริ่มแรกของขบวนการฮอสพิซในมาเลเซีย เป็นผลงานการบุกเบิกของ ดาโต๊ะ ศรี จอห์น คาร์โดซา (John Cardosa) ในช่วงทศวรรษที่ ๗๐ และ ๘๐ เมื่อจอห์นพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งใน ปี ค.ศ.๑๙๗๒ ทำให้เขาประสบกับการบำบัดโรคร้ายที่คุกคามชีวิต ไร้ซึ่งการดูแลมิติทางอารมณ์และจิตใจของผู้ป่วยด้วยตนเอง เขาจึงหาทางที่จะทำให้ตัวเองและผู้ป่วยคนอื่นๆ ได้รับการดูแลในมิติดังกล่าว และเริ่มต้นผลักดันให้เกิดสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในมาเลเซีย ซึ่งมาประสบผลสำเร็จเอาในทศวรรษที่ ๙๐
ดาโต๊ะศรี ดร.ท. เทวราช (Dato’ Seri Dr. T Devaraj) หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร/ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของ รูมาห์ ฮอสพิซ ปูเลา ปีนัง (Rumah Hospis Pulau Pinang) ได้ขยายความว่า
“การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองเข้ามาในประเทศนี้อย่างง่ายๆ เพราะการที่ จอห์น คาร์โดซา รอดตายจากมะเร็งได้สองครั้งสองครา และมาเป็นเลขานุการของสมาคมมะเร็งในปีนัง เขาได้เดินทางไปประชุมเรื่องสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายครั้งที่สอง ณ สิงค์โปรเมื่อ ค.ศ.๑๙๘๙ และมีคนจากกัวลาลัมเปอร์ไปร่วมประชุมพร้อมเขาด้วยอีกสามสี่คน เมื่อกลับมาเขาก็ตัดสินใจว่า ต้องมีการดูแลแบบประคับประคองในประเทศนี้”
เมื่อเริ่มงานในทศวรรษ ๙๐ การก่อตั้งบ้านพักสำหรับดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในปีนัง อยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมมะเร็งแห่งชาติมาเลเซีย พร้อมกับในกัวลาลัมเปอร์ได้เกิดความเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน องค์กรพัฒนาเอกชน “ฮอสพิซ มาเลเซีย” ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ.๑๙๙๑ โดย ดาโต๊ะ ดร.ปีเตอร์ มูนีย์ (Dat Dr. Peter Mooney) พยายามก่อตั้งหน่วยดูแลแบบประคับประคองในโรงพยาบาลอัสซุนตา (Assunta Hospital) ซึ่งเขาเป็นประธานอยู่ แต่ต้องหยุดชะงักไป เนื่องจากบุคลากรด้านการแพทย์เห็นว่า การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย “เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป” และอยู่นอกเหนือภาระงานของโรงพยาบาล
มีการรับอาสาสมัครเข้ามาฝึกอบรมทั้งสองพื้นที่ โครงการที่ปีนังมุ่งเปิดรับผู้ป่วยในเดือนมิถุนายน ค.ศ.๑๙๙๑ แต่หาพยาบาลมาทำหน้าที่ประสานไม่ได้ จนต้องมาเปิดทำการใน ค.ศ.๑๙๙๒ ส่วนพื้นที่ทางแถบคาบสมุทร ฮอสพิซ มาเลเซีย เปิดโครงการเยี่ยมบ้านไปหนึ่งเดือนก่อนหน้า ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๙๒ โดยตอนแรกให้บริการครอบคลุมบริเวณ เปตาลิง จายา (Petaling Jaya) ก่อนจะขยายไปครอบคลุมเขตกัวลาลัมเปอร์ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ.๑๙๙๒
![MHC_LOGO1](http://peacefuldeath.co/wp-content/uploads/2018/04/MHC_LOGO1.jpg)
ในปี ค.ศ.๑๙๙๒ ศัลยแพทย์และเจ้าหน้าที่ในแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลควีนอลิซาเบธ ในโกตา คินนาบาลู (Queen Elizabeth Hospital in Kota Kinabalu) พบว่า ผู้ป่วยที่เข้ามารักษาโรคมะเร็งในระยะลุกลาม เมื่อได้รับรักษาและผู้ป่วยกลับบ้านไปแล้ว ร้อยละ ๗๐ ต้องมาโรงพยาบาลอีกเพื่อที่จะลดผลข้างเคียงจากมะเร็งที่กลับมา จึงมีการก่อตั้งบ้านพักเพื่อดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองขึ้นในปี ค.ศ.๑๙๙๓ ภายใต้ร่มของสมาคมมะเร็งแห่งซาบาห์ แต่ต่อมาจึงพบว่า หน่วยดูแลผู้ป่วยในต้องการความสนับสนุนจากโครงการเยี่ยมบ้าน และต้องหาวิธีการอำนวยความสะดวกให้สามารถรับผู้ป่วยเข้ามาดูแลได้อย่างรวดเร็ว แทนที่จะต้องผ่านขั้นตอนที่ยืดยาด จึงทำให้เกิดรูปแบบการดูแลระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลและโครงการเยี่ยมบ้านที่อยู่บนฐานของเครือข่ายโรงพยาบาลอำเภอเข้มแข็งของมาเลเซียเอง ในการจัดหา ”การดูแลที่ไม่สะดุด” ซึ่งรูปแบบดังกล่าวทำให้กระทรวงสาธารณสุขให้ความสนใจ และนำไปสู่การก่อตั้งแผนกดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในโรงพยาบาลรัฐ
คุณหมอรันจิต โอมเมน (Dr.Ranjit Oommen) ขยายความในเรื่องดังกล่าวว่า
“ผมคิดว่ารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายนี้น่าจะเป็นตัวแบบที่จะใช้ในมาเลเซีย เพราะไม่มีหน่วยงานขององค์กรภาคเอกชนใดๆ ที่สามารถเข้าถึงในระดับหมู่บ้านได้ รัฐบาลเป็นหน่วยงานซึ่งมีภารกิจในการเข้าหาทุกคนในประเทศ ดังนั้นหากทำงานผ่านช่องทางของรัฐ เราสามารถจะเข้าไปหาทุกคนได้ แต่หากเราทำงานในลักษณะของโครงการเยี่ยมบ้านเหมือนเดิม เราก็คงทำงานได้เฉพาะใน โกตา คินาบาลู นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล”
[seed_social]