parallax background
 

กระสุนผู้พิทักษ์

ผู้เรียบเรียง: ทอรุ้ง หมวด: ในชีวิตและความตาย


 

คนโบราณเคยกล่าวว่า ‘ความตาย’ เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้กับสรรพชีวิตทั้งปวงเพื่อเป็นเครื่องมือปลดปล่อยจากความเจ็บปวดทรมานทั้งกายและใจ แต่พวกเราทุกคนล้วนประหวั่นพรั่นพรึงกับความตายด้วยหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การเตรียมตัวเผชิญกับสิ่งที่เราไม่รู้เบื้องหน้า ไม่ว่าจะนึกถึง ‘ความตาย’ ในลักษณะใด ‘ความกลัว’ มักจะแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของความคิดเช่นกัน แต่ ‘ความตาย’ กลับไม่ทำให้บุรุษผู้หนึ่งรู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย

ก่อนรุ่งสางของวันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2533 เสียงปืนนัดหนึ่งจึงดังกึกก้องขึ้นในป่าห้วยขาแข้ง เสียงปืนในราวป่าเมื่อ 27 ปีก่อน ไม่เพียงแต่ปลุกจิตวิญญาณผู้คนให้ตื่นตัวกับกระแสการอนุรักษ์ผืนป่าและสัตว์ป่าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ยังกู่ก้องร้องตะโกนอย่างสุดเสียงจากพงไพร เพื่อตั้งคำถามกับคนทั้งโลกว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับป่าห้วยขาแข้ง’…. และผู้ที่ใช้ ‘กระสุนปืน’ เขียนคำถามแทนปากกานั้น มีนามว่า สืบ นาคะเสถียร

เมื่อ ‘ความเป็น’ ไม่ได้ให้อะไร…. ‘ความตาย’ จึงเป็นสิ่งที่ให้อะไรได้มากกว่า

หลังการเสียชีวิตด้วยการกระทำอัตวินิบาตกรรมของคุณสืบ นาคะเสถียร อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งกลายเป็นข่าวใหญ่ทั่วประเทศ เพียงสองสัปดาห์ต่อมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกรมป่าไม้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าหน้าที่ราชการอีกหลายฝ่ายนับร้อยคนได้จัดการระดมกำลังประชุมปรึกษาหารือในการป้องกันการทำลายเขตรักษาป่าห้วยขาแข้งอย่างแข็งขัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาเพียรพยายามถามเจ้าหน้าที่ในป่าห้วยขาแข้งระหว่างมาทำวิจัยถึงเสียงปืนของนักล่าสัตว์ที่เขามักได้ยินเป็นประจำ…ทำไมมีการล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทำไม และทำไม…คำถามที่ไร้ผู้ตอบ..

แทบไม่มีใครใส่ใจต่อเสียงร้องระงมขอชีวิตของสัตว์ป่าหลากสายพันธุ์ที่ถูกคุกคามอย่างหนักจากน้ำมือมนุษย์กลุ่มหนึ่ง เสียงอ้อนวอนของบุรุษผู้นี้กลับถูก ‘เพิกเฉย’ เขาผู้นี้มิได้ขอร้องอ้อนวอนเพื่อตัวเองแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่มีการอภิปรายบนเวที คุณสืบ มักจะพูดจาก ‘หัวใจ’ ว่า “วันนี้ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่าทุกตัว เพราะพวกเขาพูดเพื่อตัวเองไม่ได้…”

ในสังคมมนุษย์ที่มีความหลากหลาย จึงอาจมีผู้พูดว่า “สำหรับสัตว์ป่าก็น่าเศร้า แต่มนุษย์ต้องมาก่อน” ถือว่ากำลังแสดงเจตจำนงตนออกมา 2 ข้อ คือ อันดับแรก ‘มนุษย์’ ไม่ได้ประเสริฐไปกว่าสัตว์เหล่าอื่นตามที่กล่าวอ้าง เรายังมีพื้นฐานในการทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด ส่วนสังคมอื่นที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับเราก็ปล่อยให้สูญเสีย จนถึงสูญพันธุ์ไป

อันดับสอง ‘มนุษย์’ เป็นเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตอันทรงคุณค่า มีสติปัญญาเฉียบแหลม สามารถปรับเปลี่ยนทรัพยากรธรรมชาติ จนกระทั่งอาจเอื้อมในการผูกขาดทรัพยากรของโลก ให้กลายเป็นนวัตกรรมแปลกใหม่ทดแทนภูมิปัญญาเดิมเพื่อทางรอดของตัวเองในอนาคต

หาก ‘มนุษย์ต้องมาก่อน’ เป็นการกล่าวอ้างสิทธิ์ว่าเรามีค่าคู่ควรมากกว่าสัตว์อื่นแล้ว มันก็กระตุ้นให้เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาว่า ศักยภาพ ในการแยกแยะผิดถูก ในการเสียสละเพื่อส่วนรวม อีกทั้งความรับผิดชอบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่บนโลกใบนี้ก่อนที่มนุษย์จะอุบัติขึ้นนั้น เราควรมีมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่นด้วยใช่หรือไม่?

แม้นักนิเวศวิทยาหลายๆ ท่านได้พยายามอธิบายกลไกความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันระหว่างสังคมพืชและสังคมสัตว์ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของระบบชีววิทยาและเคมี ทำให้โลกมีความสมดุลทางธรรมชาติซึ่งทำให้มนุษย์สามารถอาศัยอยู่บนโลกนี้ได้ แต่มนุษย์เรายังไม่มีความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างพืชและสัตว์อย่างเพียงพอที่จะคาดเดาว่า หากมีการกำจัด หรือ สูญเสียสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งไป จะมีผลต่อสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ในระบบนิเวศอย่างไร รวมถึง ‘มนุษย์’ ด้วย

คนส่วนใหญ่อาจมีชีวิตเพื่อครอบครัว เพื่อคนที่รัก และเพื่อตัวเอง แต่สำหรับคุณสืบ นาคะเสถียร แล้ว เขากลับยินดีสละชีวิตตนเอง เพื่อ ‘ป้องปก’ ผืนป่าและสัตว์ป่าจำนวนมากโดยไม่สนใจว่า ‘พวกเขา’ จะรักเขาตอบหรือไม่

การตายเพื่อ ‘คน’ที่เรารักยังมีเกิดขึ้นอยู่ในสังคม แต่การตายเพื่อ ‘สัตว์เดรัจฉาน’ เป็นเรื่องยากนักที่เราจะยอมแลก…ด้วยชีวิต

ปัญหาใหญ่ที่ทำให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์คือ ‘การล่า’ เสียงปืนที่ดังก้องกังวานในราวป่าจาก ‘นักล่า’ มันฉุดกระชากความรู้สึกของคนที่กำลังช่วยชีวิตสัตว์ป่า แต่กระนั้นก็มิทำให้จิตวิญญาณของผู้พิทักษ์ผืนป่าย่อท้อกับภารกิจที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความยุติธรรมและปกป้องชีวิตของ ‘เพื่อนร่วมโลก’ แม้แต่ครึ่งก้าว

คุณสืบ นาคะเสถียรส่งบทกลอนเข้าประกวดคำขวัญด้านสัตว์ป่า-ป่าไม้ครั้งที่ ๓ ซึ่งจัดโดยคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และได้รางวัล ซึ่งสะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงของคุณสืบว่าสัตว์ป่ามีความหมายกับเขามากเพียงไร

สัตว์ป่า
เสียงปืนที่ดังลั่น
ตัวแม่นั้นต้องสิ้นใจ
ลูกน้อยที่แบกไว้
กระดอนไปเพราะแรงปืน
ฝืนใจเข้ากอดแม่
หวังแก้ให้แม่ฟื้น
แม่จ๋าเพราะเสียงปืน
จึงไม่คืนชีวิตมา
โทษไหนจึงประหาร
ศาลไหนพิพากษา
ถ้าลูกท่านเป็นสัตว์ป่า
ใครเข่นฆ่าท่านยอมไหม
ชีวิตใครใครก็รัก
ท่านประจักษ์หรือไม่ไฉน
โปรดเถิดจงเห็นใจ
สัตว์ป่าไซร้ก็เหมือนกัน

มรดกชิ้นสุดท้ายที่ทิ้งไว้ก่อนตายคือรายงานทางวิชาการเสนอยูเนสโกแห่งองค์การสหประชาชาติแสดงความสมบูรณ์ของป่าห้วยขาแข้ง เพื่อยกผืนป่าแห่งนี้ให้เป็น ‘มรดกโลกทางธรรมชาติ’

นับจากนั้น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง หรือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยองค์การยูเนสโกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ซึ่งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี และมีพื้นที่ติดต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรในพื้นที่จังหวัดตากและจังหวัดกาญจนบุรี ที่อยู่ทางทิศตะวันตก

วันนั้น..ป่าห้วยขาแข้งได้รับการยกย่องให้เป็น ‘มรดกโลก’ แล้วจริงๆ

แต่วันนี้…วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 กลับมี ‘คนบางพวก’ กำลังท้าทายความยุติธรรมที่กระสุนปืนนัดนั้น เรียกร้องให้กับ ‘สัตว์ป่า’ โดยลักลอบเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก จ. กาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบอาวุธปืน ซากไก่ฟ้าหลังเทากับเนื้อเก้ง และพบซากเสือดำถูกชำแหละเนื้อและหนัง!

ไม่ว่าตอนจบของคดีนี้จะเป็นเช่นไร แต่เป็นการยืนยันว่า มนุษย์ มี ‘ปัญญา’ ที่สามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้เสมอ

ระหว่างเป็น ‘ผู้สร้าง’ หรือ ‘ผู้ทำลาย’ ขณะที่ตนมีชีวิต

ระหว่าง ‘ตายดี’ หรือ ‘ตายเลว’ ขณะเฮือกสุดท้ายของชีวิต

หากมีคนถามว่า ‘ทำไมเราต้องอนุรักษ์เสือ?’ ‘หากไม่มีเสือ เราก็จะมีสัตว์ป่าเพิ่มขึ้นรึเปล่า?’

คำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็เพื่อประโยชน์ของมนุษย์เรานั่นเอง เพราะถ้าเราสามารถรักษาเสือให้อยู่รอดในธรรมชาติได้ก็เท่ากับเรารักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้ ผลประโยชน์จะย้อนคืนกลับมายังมวลมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของธรรมชาติที่ดำรงอยู่ สภาพป่าสมบูรณ์ที่เป็นต้นน้ำลำธาร รวมถึงแหล่งพันธุกรรมขนาดใหญ่ที่รอการศึกษาค้นคว้าในอนาคต แม้การขาดเสือในป่าอาจทำให้มีสัตว์ป่าชนิดอื่นเพิ่มขึ้น แต่การมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป ก็ไม่ได้แปลว่าจะดีเสมอไปเพราะธรรมชาติดำรงอยู่ได้ด้วย ‘ความสมดุล’ ป่าหลายแห่งขาดผู้ล่าอย่างเสือ ทำให้ประชากรช้างมากเกินไป ส่งผลให้มีช้างป่าออกมาหากินในพื้นที่ของเกษตรกร แน่นอนว่าปัญหาระหว่างคนกับช้างป่าจึงตามมาอีกมากมาย

บางครั้งการเผชิญความตายของ ‘วีรบุรุษ’ จึงไม่ใช่การ ‘สิ้นสุด’ หากเป็นการ ‘สร้าง’ แรงสั่นสะเทือนให้ ‘ใครสักคน’ กล้าลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดำรงต่อไป…ไม่ใช่เพื่อหาวิธีการ ‘ใช้’ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไรในการพัฒนาประเทศใดประเทศหนึ่ง หากต้องร่วมมือร่วมใจ ‘รักษา’ สภาวะแวดล้อมรวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่เหลืออยู่อย่างจำกัดอย่างไร…ทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อลูก หลาน ของพวกเราทุกคนสืบไป

การอนุรักษ์และฟื้นคืนธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรมเป็นเสมือนคำมั่นว่า…เสียงปืนนัดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจพวกเรา ‘ทุกคน’…แม้กระทั่งวินาทีนี้

และนี่คือวิถีความตายอย่าง ‘ลูกผู้ชาย’ นามว่า สืบ นาคะเสถียร

ข้อมูลอ้างอิง
1. หนังสือ ‘The Last Hero: ชีวิตและความตายของลูกผู้ชายชื่อ สืบ นาคะเสถียร’ โดยคุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์: สำนักพิมพ์อะบุ๊ก
2. หนังสือ ‘เสือ’ โดย ดร. ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ, คุณอัจฉรา ซิ้มเจริญ, คุณสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ และ ม.ล. ปริญญากร วรวรรณ : บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ภาพประกอบ: มูลนิธิสืบนาคะเสถียร www.seub.or.th

[seed_social]

17 เมษายน, 2561

นายกสมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้ายฯ จี้ สปสช. ผลักดัน Palliative Care เข้าไปอยู่ในระบบ ๓๐ บาท

เมื่อเร็วๆ นี้ พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายกสมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้ายแห่งประเทศไทย กล่าวในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
17 เมษายน, 2561

ตายที่บ้าน “ดีกว่า” แต่คนส่วนใหญ่กลัวที่จะพูดถึง

พวกเรารู้ว่า การพูดคุยเรื่องความตายเป็นเรื่องยาก งานวิจัยใหม่ในวารสารความปวดและการจัดการความปวด แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเราควรจะทำให้ดีกว่าเดิม
20 กุมภาพันธ์, 2561

ตามรอยซิเซลี

ซิเซลี ซอนเดอร์ส แพทย์หญิงชาวอังกฤษ ผู้บุกเบิกสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายสมัยใหม่จนกลายเป็นต้นแบบของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในปัจจุบัน แม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปนานเกือบสิบปีแล้ว แต่การอุทิศตัวเพื่อให้ผู้ป่วยมีความสุขและได้ตายดีของเธอ