parallax background
 

Love / Language

ผู้เขียน: ธารินทร์ เพ็ญวรรณ (นพ.) หมวด: ประสบการณ์ชีวิต


 

เขาเป็นชาวออสเตรเลียเกษียณที่มาพบรักใหม่ในประเทศไทย

เธอคือหญิงม่ายที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว ๒ ครั้ง ลูกชายวัย ๑๐ ปี ของเธอก็เริ่มคุ้นเคยกับพ่อใหม่คนนี้แล้ว

แต่ทว่า ตอนนี้เขากำลังจะตาย ลมหายใจที่รวยรินและร่างกายที่ทรุดโทรมลงทุกวันตอกย้ำความจริงนี้แก่เธอ อย่างไม่ปราณี เมื่อผมพบกับเขาเป็นครั้งแรก เราสามารถสื่อสารกันได้แค่การกระพริบตา และคำถาม ใช่/ไม่ใช่ แบบง่ายๆ เท่านั้นเนื่องจากมะเร็งได้ลุกลามไปที่สมองแล้ว

ทางทีมผมได้พบกับเขาครั้งแรกเมื่อคริสมานอนที่โรงพยาบาลได้เกือบสองสัปดาห์ สาเหตุที่แพทย์หลักปรึกษานั้นก็เพื่อคุมอาการไม่สุขสบายต่างๆ ปัญหาด้านจิตสังคม ร่วมกับเป็นล่ามช่วยแปลภาษาให้ด้วย

เมื่อไปถึงที่ห้องของผู้ป่วย ครอบครัวจากออสเตรเลียก็มีท่าทีระแวดระวังขึ้นมาทันที โชคดีที่คู่หูของผมวันนั้นเป็นพยาบาลที่มาจากประเทศเดียวกัน พอเธอแนะนำตัวเองไปว่าเราคือทีมพาลลิเอทีฟ แคร์ ท่าทีของครอบครัวก็เปลี่ยนไปในทันที

“พระเจ้า!! เรารอพวกคุณอยู่เลย! ขอบคุณมากที่มา” เคต พี่สาวคนโตบอก ขณะที่จับมือกับคู่หูผม

“สวัสดีครับหมอ” วิล น้องเขยยกมือไหว้ผมแล้วจับมือทักทายเบาๆ อีก ๒ คนที่อยู่ในห้องคือ ลอร์เรน น้องสาวของคริสและพี่พร ภรรยาชาวไทย

คริสมีอาการหลายอย่าง ทั้งเรื่องอาการปวดและหอบเหนื่อยจากตัวโรค ผมเริ่มวางแผนปรับยาพร้อมอธิบายถึงขั้นตอนต่างๆ แก่ญาติ คริสเองก็พยายามมองตามและฟังผมอย่างตั้งใจ

“เดี๋ยวผมจะปรับยาแก้ปวดที่ชื่อว่ามอร์ฟีนให้คุณนะ แล้วจะมาดูอีกทีในวันพรุ่งนี้ ถ้ายังปวดอยู่มากก็ขอยาเพิ่มได้นะครับ”

คริสมองหน้าผมแล้วกระพริบตาหนึ่งที

“เขาบอกว่าเข้าใจน่ะหมอ เราตกลงกันว่าถ้าคริสอยากบอกว่าใช่ให้กระพริบตา ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องทำอะไร” เคต อธิบายเพิ่ม

ครอบครัวดูสบายใจขึ้นมากเมื่อผมมาอธิบายถึงขั้นตอนและแผนการรักษาในขั้น ต่อๆ ไปเนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีใครบอกอะไรกับพวกเขาเลย ระหว่างที่คู่หูของผมคุยกับเพื่อนร่วมชาติ ผมก็อธิบายให้พี่พรฟังเป็นภาษาไทยเพิ่มเติม

ในผู้ป่วยรายนี้ อาการไม่สุขสบายทางกายนั้นคงต้องปรับยาและมาดูเป็นระยะ แต่ปัญหาอื่นที่ผมกังวลนั้นมีอีก ๒ อย่างคือผมไม่แน่ใจว่าพี่พรสามารถสื่อสารกับครอบครัวฝั่งสามีได้มากน้อยแค่ ไหน เนื่องจากสังเกตว่าเวลา วิล หรือ เคต พูดกับพร เธอจะดูไม่เข้าใจทั้งหมด คนอื่นๆ จึงต้องพยายามปรับภาษาให้ช้าและง่ายขึ้นจึงจะสื่อสารกันได้ อีกอย่างหนึ่งคือผมกังวลว่าเธอจะถูกเสียงข้างมากกลบเสียงของตัวเองไปหรือ เปล่า นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เพราะปกติเวลาชาวต่างชาติมาอยู่ที่เมืองไทยก็มักจะอยู่กับครอบครัว ญาติพี่น้องคนไทยของภรรยา แต่ครอบครัวนี้คนไทยกลับกลายเป็นเสียงส่วนน้อยซะอย่างงั้น

พอเดินออกมาจากห้องพี่พรก็ตามออกมาและยืนยันความกังวลของผมด้วยตัวเอง

“หมอ...ฉันมีเรื่องอยากขอร้องหมอหน่อย หมอช่วยเป็นล่ามคุยกับทางนั้นได้ไหม? ภาษาอังกฤษฉันไม่ค่อยดี”

“ได้ครับ พี่พรอยากบอกอะไรกับพวกเค้าเหรอครับ?” เธอนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะบอกต่อ

“เป็นความผิดของฉันหรือเปล่าหมอ?”

“ครับ?”

“ที่พาเค้ามาโรงพยาบาลสาย...จนเป็นถึงขนาดนี้…”

พี่พรมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด เท่าที่ฟัง เธอคงกังวลว่าตนพาสามีมาโรงพยาบาลสายจนมะเร็งเป็นถึงขั้นลุกลาม

“พี่พรครับ...ผมเข้าใจนะว่าพี่รู้สึกเครียดและรู้สึกผิดกับสามี แต่พี่พรไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองนะครับ โรคพวกนี้ บางทีมันไม่ได้ตรวจพบง่ายๆ ในระยะแรกเริ่ม” ผมทิ้งช่วงไปครู่หนึ่งจึงค่อยบอกต่อ “และตอนนี้พี่ก็มาดูแลเขาเป็นอย่างดี ผมเห็นได้ว่าเขารับรู้ได้และทางพี่น้องคริสก็บอกกับผมเองว่าพี่พรดูแลน้องของพวกเขาดีมาก”

พี่พรดูสีหน้าคลายกังวลลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ทั้งหมด

“งั้นหมอช่วยบอกแทนฉันหน่อยได้ไหม? บอกกับพวกเขาว่าฉันขอโทษ...ขอโทษที่ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้”

“ได้ครับ....แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เป็นปมในใจของพี่พรและผมว่าทุกๆ คนน่าจะอยากได้ยินจากตัวพี่เอง ถ้าพี่ต้องการ ผมก็จะเป็นล่ามแปลให้ แต่ถ้าพี่อยากพูดด้วยตัวเองก็ทำได้เหมือนกัน พี่คิดว่าไงครับ?”

พี่พรเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะบอกว่า “งั้นฉันบอกเองหมอ”

วันถัดมา ผมไปปรับยาให้คริส ดูพี่พรยังมีสีหน้ากังวลเหมือนเดิม ทางครอบครัวออสเตรเลียก็ถามตอบกับผมหลายอย่างและพยายามถามความเห็นร่วมในการ ตัดสินใจกับพี่พรด้วย เธอฟังไม่เข้าใจในหลายๆ ประเด็น ผมจึงเป็นล่ามแปลให้เหมือนเดิม ดูเหมือนว่าผมจะกังวลเกินไปเรื่องที่ว่าพี่พรจะโดนเสียงข้างมากกลบ เพราะพวกเขาเคารพการตัดสินใจและเสียงของพี่พรเป็นอย่างดี

เมื่อผมออกจากห้อง เคตก็เดินตามผมออกมา เธอบอกถึงความกังวลของเธอให้ผมฟัง

“หมอ...พรเค้าจะไหวรึเปล่านะ พวกฉันมาช่วงกลางวันแล้วกลับไปที่พักช่วงเย็น แต่พรกลับอยู่เฝ้าคริสตลอด ๒๔ ชม. เลย ไม่รู้ได้นอนบ้างหรือเปล่า พวกฉันกังวลมาก อยากให้เขาพักและคิดถึงสุขภาพของตัวเองบ้าง แค่นี้พวกเราก็ซาบซึ้งกับเธอมากแล้ว”

“เขารู้สึกผิดหลายๆ อย่างน่ะ แล้วเมื่อวานพรคุยกับพวกคุณรึยังนะ?”

“รู้สึกผิด? เรื่องอะไรล่ะ??? แล้วเมื่อวานก็ไม่เห็นเขาพูดถึงอะไรนี่?”

ดูเหมือนว่าพี่พรจะยังไม่ได้บอกความกังวลของตัวเองให้คนอื่นฟัง ขืนปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ ผมจึงคิดว่าคงต้องจัดประชุมในครอบครัวสักที ผมเข้าไปในห้องอีกครั้งแล้วอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่าอยากนัดคุยกับครอบครัว ทั้งหมด ทุกคนพยักหน้ารับทราบและเดินไปอีกห้องหนึ่ง พี่พรดูสีหน้าตื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่วิลก็โอบไหล่เธอไว้อย่างอ่อนโยนและชวนกันไปที่ห้องประชุม

เมื่อทุกคนมากันครบ ผมจึงอธิบายให้พี่พรฟังสั้นๆ ว่าที่เรียกมาก็เพราะจะเป็นล่ามบอกถึงความในใจ ของพี่พรให้ทุกคนรับทราบ เธอจึงแลดูตื่นน้อยลง

“ฉันขอโทษ...ขอโทษที่พาเขามาโรงพยาบาลสาย....ตอนนั้นเขาบอกว่าปวดขา...ถ้าฉันเร่งให้เขาไปตั้งแต่ตอนนั้นก็คง...ฉันขอโทษ...ขอโทษจริงๆ ....ฉัน เสียใจ....ที่เค้าต้องกลายเป็นแบบนี้....I…am…sorry.....” พี่พรพูดเสียงขาดๆ ปนก้อนสะอื้น นัยน์ตาแดงก่ำ เมื่อทางครอบครัวออสเตรเลียรับทราบทุกคนก็ตกใจและพากันปลอบประโลมเธอทันที

“เธอช่วยเขาได้มากแล้วนะพร เธอดูแลเขา อยู่ด้วยกันกับเขาทั้งตอนที่เขาสบายดีและตอนที่เขาป่วย แค่นี้พวกฉันก็รู้สึกขอบคุณเธอมากแล้ว และฉันมั่นใจว่า คริสเองก็รับรู้ได้เช่นกัน”

“เขาเป็นคนอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่เจ็บหนักจริงๆ ก็จะไม่ไปหาหมอหรอก ต่อให้คริสอยู่ในออสเตรเลีย ฉันก็เชื่อว่าจะไม่ต่างกัน”

“ใช่ แล้วรู้ไหมว่า คริสเคยบอกอะไรให้ฉันฟัง? เขาบอกว่า ช่วงเวลา ๖ ปีที่เขาอยู่ในไทย อยู่กับเธอ เป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต”

ได้ยินถึงตรงนี้พี่พรก็ปล่อยโฮออกมาทันที น้ำตาแห่งความอัดอั้นตันใจพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน เธอคงแบกรับความรู้สึกนี้มาตลอด โดยที่ไม่ได้คุยกับใครเลย

ถึงตรงนี้ก็หมดหน้าที่ล่ามอย่างผมแล้ว พวกเขากอดและกุมมือกันเงียบๆ อยู่พักใหญ่โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาหรือวจี ใดๆ ใช้เพียงแค่อ้อมกอดและการสัมผัสเท่านั้นก็เพียงพอที่จะสื่อความในใจของกัน และกันได้

มีคำพังเพยภาษาอังกฤษอันหนึ่งที่ว่า Elephant in the room ซึ่งหมายถึงเวลาที่มีเรื่องบางอย่างปรากฏอยู่อย่างเด่นชัด ทุกคนรับรู้ถึงมันได้ แต่ไม่มีใครพูดถึงสิ่งนั้น อาจจะเพราะไม่อยากคุย อยากหลีกเลี่ยง หรืออะไรก็ตามแต่

แต่สำหรับครอบครัวนี้ ช้างที่ว่านั้นเป็นช้างสัญชาติออสเตรเลีย และต้องการควาญช้างที่คุยภาษาช้างได้ ก็เท่านั้นเอง

ที่มา: https://www.gotoknow.org/posts/578120

[seed_social]
9 พฤษภาคม, 2561

เงาสะท้อน

ผมไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพราะยิ่งสู้มากเท่าไหร่ก็เป็นการต่อสู้กับตัวเองทั้งสิ้น และไม่จำเป็นต้องหนีเพราะหนีเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพ้น เหมือนเงาตามติดตัวไปทุกที่
22 พฤศจิกายน, 2560

ความผิดปกติ…ที่เป็นปกติ

ย้อนไปเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ในขณะที่หลายคนกำลังดูโทรทัศน์อยู่ พลันภาพจากจอโทรทัศน์ก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ตัดภาพมามีผู้ประกาศข่าวใส่ชุดสีดำนั่งหน้าตรง
25 เมษายน, 2561

ยิ้มกว้างบนทางสายป่วย

“ความทุกข์ไม่ได้เกิดจากโรคที่คุณเป็นนะ แต่เกิดจากการที่คุณไม่อยากเป็น คุณดิ้นรนขัดขืน คุณแกะโรคออกมาไม่ได้หรอก หมอยังแกะออกมาไม่ได้เลย