parallax background
 

แมวมอง มองแมว

ผู้เขียน: แคทมิน หมวด: ประสบการณ์ชีวิต


 

อยากลองเป็นแมวดูบ้าง ระหว่างที่กำลังจินตนาการตามที่คิด ก็เผลอหลับไปเมื่อลืมตาขึ้นอีกที ก็มีความรู้สึกแปลกๆ แบบบอกไม่ถูก เรากลายเป็นแมวไปแล้วจริงๆ

ใครที่เลี้ยงแมวมาก่อน หรือปัจจุบันก็ยังเลี้ยงอยู่ เชื่อว่าคงเคยมีความรู้สึกที่ว่า “อิจฉา” เพราะหันไปทีไรก็เห็นนอนสบาย หรือหิวเมื่อไหร่ เพียงแค่อ้อนหรือส่งเสียงร้อง ก็มีอาหารมาเสิร์ฟ ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาอะไรอย่างนี้

ผู้เขียนเองเคยมีความรู้สึกแบบนี้ โดยเฉพาะช่วงที่งานยุ่งๆ หรือมีเรื่องเครียดแวะเวียนมาทักทายในบางช่วงของชีวิต และเชื่อว่าคนอื่นๆ ก็น่าที่จะเคยมีความรู้สึกแบบนี้แวบๆ มาบ้าง

อยากชวนมานึกสนุก แล้วลองจินตนาการไปว่าวันหนึ่งมีเหตุให้เราต้องสลับร่างกับแมวที่บ้านขึ้นมาจริงๆ จะเป็นอย่างไรนะ ที่ผ่านมาก็มีหนังทำนองแบบนี้อยู่เหมือนกัน คนสลับร่างกันเองบ้าง หรือคนสลับร่างกับแมวบ้าง แล้วถ้าเป็นเราจะเป็นอย่างไรนะ แค่นึกก็รู้สึกสนุกแล้ว

เริ่มกันเลยดีกว่า เพราะตอนนี้อยากจะหลีกหนีจากงานที่สุมหัวอยู่ แล้วไปนอนสบายๆ อย่างแมวดูบ้าง สักวันสองวันก็ยังดี (อารมณ์เหมือนเตรียมตัวจะไปพักร้อนเลย) แล้วจะเลือกเป็นแมวตัวไหนดีนะ ถ้าบ้านที่มีไม่กี่ตัวก็เลือกง่ายหน่อย แต่บ้านที่มีหลายตัวก็เลือกยากนิ๊ดนึงว่าจะสลับร่างกับตัวไหนดี

เมื่อเลือกได้แล้วก็อุ้มมากอดไว้ หลับตาจินตนาการว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นมาระหว่างเรากับแมว ระหว่างที่กำลังจินตนาการตามที่คิด ก็เผลอหลับไปจริงๆ และเมื่อลืมตาขึ้นอีกที ก็มีความรู้สึกแปลกๆ แบบบอกไม่ถูก ก้มมองดูมือ จากที่เคยเป็นนิ้วมือ ตอนนี้กลายเป็นปุ่มนุ่มๆ มีขนปกคลุม หันไปมองด้านหลัง เรามีหางด้วย หรือว่าเรากลายเป็นแมวไปแล้วจริงๆ

ด้วยความตื่นเต้น และมีความรู้สึกว่าอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ความฝันเป็นจริงแล้ว เมี้ยวววววว เราไดกลายเป็นแมวแล้ว เอ...จะทำอะไรก่อนดีนะ ก่อนอื่นขอเล่นหางก่อนละกัน อยากจะลองมีหางมานานแล้ว อยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไหนลอยยกหางไกวไปมาหน่อยสิ หรือลองตั้งเหยียดตรงดูหน่อย รู้สึกแปลกๆ แต่สนุกดีแฮะ

ไหนไหนก็เป็นแมวแล้ว ลองทำอะไรอย่างที่ทำไม่ได้ตอนเป็นคนดีกว่า ว่าแล้วก็พุ่งตรงไปที่ต้นไม้หน้าบ้านก่อนเลย ลองกระโดดหรือปีนขึ้นต้นไม้แบบที่เคยเห็นแมวทำ ว่าเราจะทำได้ไหมนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าการปีนต้นไม้กลายเป็นเรื่องง่าย เมื่อเทียบกับตอนเป็นคน แป๊บเดียว มาถึงกิ่งบนสุด ลมเย็นพัดมาปะทะที่ใบหน้า รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที วิวข้างบนก็สวยเชียว ว่าแล้วก็ขอนั่งพักพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยลงดีกว่า

จากที่คิดว่าจะนั่งพัก ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน ตื่นขึ้นมาอีกทีบรรยากาศรอบตัวก็ดูมืดลง ท้องเริ่มส่งเสียงร้อง เริ่มหิวละ หาอะไรกินหน่อยดีกว่า กระโดดลงจากต้นไม้ แล้ววิ่งเข้าบ้านทันที ไหนลองส่งเสียงดูสิว่าจะเป็นยังไง เมี้ยว เมี้ยว “อ้าวหิวแล้วหรอ” น้องสาวเราเอง พูดพร้อมกับหยิบอาหารมาเทให้ พอจานอาหารมาวางตรงหน้า อึ๋ยย จะให้เรากินอาหารแบบนี้หรอ ไม่เห็นน่ากินเลย อาหารบนโต๊ะยังน่ากินกว่าอีก แล้วนี่จะกินยังไง ช้อนก็ไม่มี ระหว่างที่ยืนบ่นอยู่นั้น เมล์มี่ แมวอีกตัวนึงก็เดินเข้ามาจัดการอาหารจานนั้นด้วยความรวดเร็ว เพียงแวบเดียวกลายเป็นจานเปล่าไปซะแล้ว

ชักเริ่มไม่สนุกแล้วสิ หิวก็ไม่ได้กินอย่างที่อยากกิน แต่ถูกบังคับให้กินอาหารที่ไม่ชอบ นึกไปถึงคำพูดของคนป่วยที่บอกว่าตอนไม่สบาย มีข้อห้ามมากมายจากคนรอบข้าง เช่น ห้ามทำแบบนั้นแบบนี้ หรือห้ามกินอาหารบางอย่าง กลายเป็นว่าเคยทำอะไรด้วยตัวเองได้ ก็ต้องพึ่งพาคนอื่น หรือของที่ชอบกินกลายเป็นของแสลงกินไม่ได้ และอีกสารพัดข้อห้ามต่างๆ แม้จะรู้ว่าทำไปด้วยเป็นห่วงแต่ความรู้สึกของคนป่วยเหมือนถูกจำกัดอิสรภาพเพียงเพราะคำว่า “ป่วย” หรือบางคนบอกว่า อิสรภาพสิ้นสุดลงทันทีเมื่อใส่ “ชุดผู้ป่วย” แม้จะเคยได้ยินมานาน แต่เพิ่งจะมาเข้าใจความรู้สึกอย่างถ่องแท้ก็ตอนนี้แหละ

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้คิดไปไกลว่า ถ้าเราต้องอยู่ในร่างแมวแบบนี้ไปตลอด เราจะทำยังไงดีนะ ยังมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ แต่ด้วยอุ้งมือแบบนี้จะจับปากกาเขียนหนังสือ หรือพิมพ์คอมพิวเตอร์ก็ทำไม่ได้อยู่ดี หรืออยากจะบอกให้ใครๆ เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการ ก็ดูเหมือนจะยาก ที่สำคัญเขาจะรู้ไหมว่าเรากลายเป็นแมวไปแล้ว อารมณ์สนุกในตอนแรกเริ่มหายไปแล้ว “ชักไม่ค่อยสนุกแล้วซิ”

น่าแปลกที่เราค้นพบข้อจำกัดมากมายที่ทำให้เราไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่อยากทำ เมื่ออยู่ในร่างแมวแบบนี้ เปรียบเทียบกับตอนที่เราเป็นมนุษย์ เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ที่ผ่านมา เราไม่เห็นความสำคัญหรือมักจะมองข้ามไป

ตอนนี้นึกถึงมือที่เคยทำอะไรได้ดั่งใจ ตอนนี้เราไม่มีมือแบบนั้นแล้ว คำพูดที่เคยสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจถึงความต้องการของเรา ตอนนี้กลายเป็นภาษาที่สื่อกันไม่เข้าใจ ไม่ว่าอยากได้อะไร หรืออยากบอกอะไรกับใครก็สื่อสารกันไม่เข้าใจเสียแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรดี

อยากชวนคิดทบทวน หรือมองย้อนกลับไป เรารู้สึกเสียใจกับเรื่องอะไรบ้าง หรือเรื่องไหนที่เรามักจะคิดว่าเอาไว้ก่อน ไว้มีเวลาหรือพร้อมค่อยทำ ถึงแม้ในใจจะรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับเราหรือกับคนรอบข้างเรา และสุดท้ายมักจะลงเอยด้วยคำพูดที่บอกว่า “รู้อย่างนี้ ตอนนั้น ....”

เคยได้ยินคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตบอกไว้ว่า เคล็ดลับการประสบความสำเร็จไม่ใช่เพียงแค่การตั้งเป้าหมาย แล้วไปให้ถึง แต่หมายถึงการลงมือทำ และจะดียิ่งขึ้นถ้า “ทำเดี๋ยวนี้” อย่าให้คำว่าไม่พร้อม หรือความคิดที่ว่าเอาไว้ก่อน มาทำให้เราไม่ได้เริ่ม และติดอยู่กับความรู้สึกผิดแบบเดิมๆ

อยากชวนตั้งเป้าหมาย แล้วเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ เรื่องแบบนี้ใครทำก่อนถือว่าได้กำไรชีวิตไปก่อนล่วงหน้า เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปจะไม่รู้สึกเสียดายกับวันเวลาที่ผ่านเลยไป อย่างน้อยก็ได้เปลี่ยนคำพูดจาก “รู้อย่างนี้ ตอนนั้น...” เป็น “ดีจังที่ได้ทำเรื่องนี้ไปแล้ว”

[seed_social]
21 เมษายน, 2561

จุดประกาย: การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้าน

คุณยังจำความประทับใจของคุณที่มีต่อผู้คน เหตุการณ์ หรือสถานที่ใดๆ ได้ไหมคะ? บางเหตุการณ์อาจทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายหรือมีพลังความมุ่งหมายที่จะเดินก้าวไปอย่างมีพลัง
21 ธันวาคม, 2560

ดูแลผู้ดูแล

จิตอาสาคนหนึ่งเขียนในใบประเมินว่า “แนวทางการเป็นจิตอาสาเทียบเคียงกับมรรคมีองค์แปดสัมพันธ์กันได้ดีมาก เห็นภาพชัดเจน” จริงๆ แล้วอยากบอกว่า มรรคมีองค์แปดของพระพุทธองค์ใช้ได้กับทุกอาชีพทุกสถานการณ์
19 เมษายน, 2561

ความตายไม่น่ากลัว ความกลัวตายต่างหากที่น่ากลัว

ดิฉันมักจะกลัวอนาคตค่ะ กลัวความตาย เนื่องจากสามีเป็นคนดี กลัวการพลัดพราก ไม่อยากผูกพันกับใครมาก ทำให้ไม่กล้านึกถึงอนาคตค่ะ เวลาที่จะซื้อคอนโดฯ ก็กลัวว่าถ้าเค้าเสียชีวิตแล้วดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันควรคิดอย่างไรดีคะ