parallax background
 

เหมือนจะกู่ไม่กลับ

ผู้เขียน: ฮูนายเมี้ยน หมวด: ประสบการณ์ชีวิต


 

ฉันรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ร้องไห้ทั้งวันอย่างหมดหวัง แต่ยังไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะมีสิ่งหล่อเลี้ยง คือ...

จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อตอนอายุ 33 ปี (พ.ศ. 2553) ฉันทำงานกับองค์กรต่างประเทศแห่งหนึ่งที่อินโดนีเซีย เนื่องจากปัญหาทางภาษาทำให้มีเพื่อนน้อย เกิดความเหงาและเคว้งคว้าง จนไปหลงรักหัวหน้าที่ทำงานอยู่ด้วยกันซึ่งมีภรรยาแล้ว

แม้จะรู้สึกผิด แต่ก็ไม่สามารถตัดใจได้ เพราะต้องเจอกันทุกวัน ฉันคิดมาก นอนไม่หลับ จนทำให้ร่างกายอ่อนแอและไอเรื้อรังติดต่อกันเป็นเดือน ไปหาแพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่หาย หลังจากรักษาด้วยสมุนไพรจนอาการทุเลา วันสุดท้ายหมอแนะนำให้ล้างจักระ ทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ก็ทำไปเพราะคิดว่าน่าจะช่วยให้ดีขึ้น

ต่อมามีโอกาสได้ไปเปิดจักระครั้งที่สอง และในคืนนั้นเอง...

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูด รับรู้ได้ว่าเป็นวิญญาณคอยบอกให้ทำโน่นทำนี่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เช่น ให้ไปขุดหาหลุมศพของตัวเอง บางครั้งก็บอกว่าเพื่อนนิสัยไม่ดีคอยกลั่นแกล้งจนรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บางวันก็นั่งร้องไห้ฟูมฟายเพราะคิดถึงเรื่องเก่าๆ บางทีก็หวาดระแวงกลัวคนจะมาฆ่า แต่ละวันอารมณ์จะเหวี่ยงขึ้นลงแบบสุดๆ อีกทั้งยังกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ฉันยอมทำตามเสียงสั่งทุกอย่าง เพราะมันรู้สึกเหมือนจริงมากจนไม่อาจปฏิเสธหรือต้านทานได้

ต่อมา ฉันเริ่มเชื่อว่าตัวเองเป็นคนทรงเจ้า มีองค์ และเข้าพิธีรับขันธ์ เพราะมีพลังพิเศษ สามารถพูดคุยและปลดปล่อยวิญญาณได้ อีกทั้งยังระลึกชาติและพูดคุยกับมนุษย์ต่างดาวได้อีกด้วย จนในที่สุดอาการพัฒนาเข้าสู่ขั้นหนัก คิดว่าตัวเองเป็นพระศรีอาริย์ เริ่มใส่ชุดขาว และบริจาคทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวออกบวช แต่ก็ไม่ได้บวช ทำได้เพียงปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้น

ตลอดหนึ่งปีเต็ม ฉันรู้สึกทุกข์ทรมาน ชีวิตเต็มไปด้วยความวุ่นวายและหวาดระแวงเกินจะบรรยาย

สุดท้ายฉันไม่รู้จะไปไหน จึงไปหาพี่ชายที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าที่บุรีรัมย์ พี่ชายโน้มน้าวให้ไปหาจิตแพทย์ หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการฟุ้งซ่านว่ามีวิญญาณมาคุยด้วยน้อยลง รู้สึกนิ่งสงบมากขึ้น ทำให้ได้นอนอย่างเต็มที่ การใช้เหตุผลเริ่มกลับคืนมา ฉันเริ่มเชื่อแล้วว่าตนเองไม่สบาย ไม่ใช่มีพลังพิเศษอะไร

อย่างไรก็ตาม แม้ฉันไม่ต้องเผชิญกับวิญญาณที่ตามมาหลอกหลอนอีกแล้ว แต่ก็ต้องทรมานกับอาการข้างเคียงจากยาแทน ฉันรู้สึกง่วงซึมทั้งวัน เชื่องช้า ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ หัวเราะไม่ออก ยิ้มไม่เป็น น้ำหนักเพิ่ม ท้องผูก ไม่มีประจำเดือน และหมดความรู้สึกทางเพศ ฉันรู้สึกแย่มากจนอยากหยุดยา

แต่ก็มีเรื่องดีที่เกิดขึ้น ในช่วงที่ไม่สบาย แม่มาอยู่เป็นเพื่อน ทำให้ใกล้ชิดกับแม่มากขึ้น ได้กอดแม่ ร้องไห้กับแม่ ได้บอกรักแม่ ทำให้ปมในวัยเด็กว่าแม่ไม่รักคลี่คลายไป หลายครั้งที่อยากหยุดกินยา แต่แม่จะคอยเป็นกำลังใจและขอร้องให้กินอย่างสม่ำเสมอ แม่จะพูดอยู่ตลอดว่า “ลูกแม่ต้องหาย” ทำให้ไม่เคยขาดยาเลย แม้ฉันจะรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ร้องไห้ทั้งวันอย่างหมดหวัง แต่ยังไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะมีสิ่งหล่อเลี้ยง ก็คือแม่กับพี่ชาย

มาถึงตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่าฉันเป็นโรคจิตเภท ตอนอยู่บ้านที่บุรีรัมย์ฉันบอกเพื่อนบ้านเพียงแต่ว่า เป็นโรคสารเคมีในสมองผิดปกติ ถ้าสนิทกันมากก็จะบอกว่ามีอาการประสาทหลอนแต่ไม่กล้าใช้คำว่าจิตเภท ครั้นมาทำงานที่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจบอกเพื่อนร่วมงานไปทั้งที่หลายคนบอกว่าให้ปิดเอาไว้ ฉันพบว่าไม่มีใครเข้าใจโรคนี้จริงๆ บางคนเข้าใจไปว่าเป็นโรคซึมเศร้า แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อนก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด และปฏิบัติตัวกับฉันโดยปกติ

เมื่อรักษาอยู่ได้หนึ่งปี อาการเริ่มดีขึ้น แม้ร่างกายไม่สมบูรณ์เต็มร้อย ทำอะไรช้า ไม่มีสมาธิจดจ่อ บางทีจับใจความไม่ได้ แต่ด้วยความพยายามอยากกอบกู้ตนเองกลับคืนมา จึงเข้าทำงานอีกครั้งที่มูลนิธิแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ งานที่รับผิดชอบต้องติดต่อกับต่างประเทศ ทำให้ได้เดินทางบ่อยๆ และได้พบกับคนมากมาย จนทำให้เริ่มมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

ปัจจุบัน ฉันทำงานมาได้เกือบห้าปีแล้ว มีความเปลี่ยนแปลงในตัวที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ ใจเย็น อารมณ์ดีมากขึ้น สดใสร่าเริง ซึ่งอาจมาจากการผ่านช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดมาแล้ว ที่สำคัญ จะกลับบ้านบ่อยขึ้นและพยายามใช้เวลากับคนในครอบครัว ฉันได้เรียนรู้ว่า จากทุกข์ที่สุดยามป่วยไข้ เพียงแค่หายป่วยแล้วกลับคืนมาเหมือนเดิม ก็ทำให้เรามีความสุขมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต

ฉันอยากจะขอบคุณโรคร้ายนี้ที่ทำให้ฉันกลายเป็นคนใหม่ ขอบคุณความรักจากครอบครัวและคนรอบข้าง ที่สำคัญอยากจะแบ่งปันเรื่องราวให้สังคมได้รับรู้และเข้าใจผู้ป่วยจิตเภท ว่าเป็นแล้วถ้ารักษาให้ถูกต้องเหมาะสม สามารถดีขึ้น มีเกียรติและศักดิ์ศรีเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปได้

ที่มาภาพ

ภาพ “ผู้หญิงหันข้าง พื้นหลังสีฟ้า,” จาก http://www.publicdomainpictures.net/view-image.php?image=165753&picture=lost-in-the-clouds
ภาพขาวดำ “crying,” จาก https:/pixabay.com/th/ร้องไห้-เศร้า-ใบหน้า-ไอคอน-729439/
ภาพ “ความรัก,” จาก https://www.goodfreephotos.com/people/silhouette-of-mother-and-daughter-making-a-heart-with-hands-during-sunset.jpg.php
ขอขอบคุณ อารีวัณย์ สมบุญวัฒนกุล

[seed_social]
12 เมษายน, 2561

ยายนิ

เรื่องนี้ทำให้ฉันได้มองเห็นอีกมุมหนึ่งซึ่งไม่เคยนึกถึงเลย ความรู้สึกกังวล ไม่มั่นใจ ความหวาดกลัว การเผชิญหน้ากับภาวะความเจ็บป่วยของญาติ
20 เมษายน, 2561

พระเอทีเอ็ม

ในระยะท้ายของโรค ผู้ป่วยมักได้รับการดูแลมิติทางกายจากสถานพยาบาลหรือครอบครัว การกินอาหาร ได้รับยาที่เหมาะสม พักผ่อนในบรรยากาศแวดล้อมที่เกื้อกูล อาจช่วยบรรเทาความทุกข์กายได้บ้าง
4 เมษายน, 2561

หลักการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้จากไปอย่างสงบทำอย่างไรได้บ้าง

ดีเจโจ้ (อัครพล ธนะวิทวิลาส) แม้ว่าร่างจะเหมือนกับตายแล้ว แต่คนที่ยังอยู่คือแฟนร้องไห้ บอกว่าอย่าเพิ่งไปนะ เขาจึงต้องทน จนกระทั่งแฟนบอกว่าไม่ต้องห่วงแล้ว เขาจึงจากไปด้วยดี เพราะสามารถปล่อยวางได้ ไม่ต้องห่วง