parallax background
 

เมื่อมาถึงทางตัน

ผู้เขียน: ฮูนายเมี้ยน หมวด: ประสบการณ์ชีวิต


 

พ่อของฉันซึ่งเป็นคนอีสาน อาชีพทำนา ทำสวน และค้าขาย ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยเป็นโรคร้ายแรงใด แต่ต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่ออายุ 56 ปี เพียงเพราะเป็นแผลที่นิ้วเท้านิ้วเดียว

ทั้งที่ซื้อยามากินแล้วแต่บาดแผลกลับอักเสบมากขึ้นจนเท้าบวม จึงไปหาหมออนามัย พบว่าติดเชื้อและถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล ระหว่างให้ยาฆ่าเชื้อ ตรวจเช็คน้ำตาลในเลือดพบว่าเป็นเบาหวาน จึงทำให้การรักษายากเย็นยิ่งขึ้น อาการอักเสบลามไปจนทั่วหลังเท้า

ในขณะที่พ่อทรมานจากความเจ็บป่วย พยาบาลคนหนึ่งเข้ามาแสดงความเห็นว่า “เคยเห็นคนเป็นโรคนี้ส่วนมากต้องตัดขา รักษาไม่ได้ไม่รู้จะคืนเป็นปกติได้หรือเปล่า”อีกคนก็สำทับอีกว่า “ทำไมเป็นขนาดนี้ สุดท้ายไม่ตัดก็ต้องลาม” ได้ยินคำพูดแบบนี้ พ่อรู้สึกร้อนรนใจมากบอกว่าไม่อยากตัดขา ยอมขายสวนเพื่อเอาเงินมารักษาให้ถึงที่สุด ส่วนฉันก็ทุกข์ใจไม่น้อยเช่นกัน และคิดหนทางการรักษาโดยมองว่าการตัดขาควรเป็นทางออกสุดท้าย

ฉันตัดสินใจสอบถามหมอจนรู้ว่ามียาแก้อักเสบตัวหนึ่งซึ่งเป็นยาทาจากต่างประเทศ อาจมีราคาแพงหน่อยแต่ได้ผลดี ฉันจึงไปหาซื้อตามที่หมอแนะนำ ไม่น่าเชื่อว่าอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าที่บวมค่อยๆ ยุบลง หมอผ่าตัดเอาเนื้อตายออกและเอาเนื้อจากต้นขามาใส่แทน แม้เป็นแผลสดขนาดใหญ่จนเกือบทั่วหลังเท้า แต่ก็สามารถรักษาให้แผลหายเร็วขึ้น ในที่สุดแผลแห้ง พ่อออกจากโรงพยาบาลกลับมาทำงานตามปกติและตัดสินใจเลิกเหล้าทันที

อีกสองปีต่อมา พ่อแน่นหน้าอกและแสบร้อน ไปหาหมอและกินยาแก้โรคกระเพาะเรื่อยมาจน อาการดีขึ้น แต่พอหมดฤทธิ์ยาก็กลับมาเป็นอีก ต่อมาทนไม่ไหวอยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงตัดสินใจไปอัลตร้าซาวด์ หมอบอกเพียงว่ามีไขมันในตับมากและไม่ได้แนะนำอะไรเพิ่มเติมพ่อจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

ล่าสุดพ่อเจ็บจนทนไม่ไหว รู้สึกแน่นขึ้นหน้าอกมาก นอนราบไม่ได้ และไอเป็นเลือด ไปหาหมอหลายคนก็ไม่รู้สาเหตุ พอไปทำทีซีแสกนจึงรู้ว่าเป็นมะเร็งท่อน้ำดีขั้นที่สามและอยู่ได้อีกเพียง 4-5 เดือน ฉันไม่กล้าบอกพ่อว่าเป็นมะเร็ง เนื่องจากพ่อร่างกายทรุดลงมาก เพราะไม่ได้กิน ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่และต้องเดินทางเทียวไปเทียวมาเพื่อหาหมอฉันจึงบอกเพียงนัยๆ ว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับตับแน่นอนแต่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นมะเร็งหรือเปล่า

ฉันใช้วิธีดั้งเดิมเหมือนตอนที่พ่อเป็นเบาหวาน คือ หายาดีมาช่วยประทังชีวิตให้พ่ออยู่ยืนยาวขึ้น ช่วงที่รักษาตัวที่บ้าน พ่อกินยาสมุนไพรของหมอพื้นบ้าน รู้สึกโล่งสบายตัวและถ่ายได้ดี ทำให้ทั้งฉันและพ่อมีความหวังมากขึ้น แต่ไม่นานก็ต้องกลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะมีอาการเพ้อถึงคนที่ตายไปแล้ว พอให้ออกซิเจนอาการดีขึ้น หมอแนะนำให้กลับมาพักที่บ้านได้ถ้าต้องการ เพราะอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว ซึ่งพ่อก็บ่นอยากกลับบ้านพอดี

อยู่บ้านไม่กี่วันก็เริ่มปวด ยาระงับปวดที่มีก็เอาไม่อยู่ พ่อร้องโอดครวญ และขอให้พาไปหาหมอ ไม่น่าเชื่อว่ามะเร็งลามไปที่ปอดแล้ว พ่อติดเชื้อและมีเสลด ทั้งที่ฉันยังไม่ทันตั้งตัวหมอเสนอให้ใส่ท่อ ซึ่งพอจะยืดชีวิตได้อีก 4-5 วัน แต่ถ้าไม่ใส่พ่อจะทรมานด้วยความเจ็บปวด และอาจเสียชีวิตภายในสองชั่วโมง การตัดสินใจครั้งนี้จำเป็นต้องเร่งด่วนทันที เพราะต้องส่งตัวพ่อไปโรงพยาบาลในเมืองและรถส่งตัวคนไข้เหลือเพียงคันเดียว ถ้ามีคิวอื่นมาตัดหน้า เราก็จะต้องรอกันไปอีก ฉันหันไปมองพ่อซึ่งตอนนี้ดิ้นทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวด

ทั้งที่ฉันเคยบอกกับหมอว่าไม่ต้องการให้พ่อใส่ท่อเพื่อยื้อชีวิต เพราะรู้ว่าการใส่ท่อมันเจ็บและทรมานมากแค่ไหนที่เอาสายเสียบเข้าไปในอวัยวะภายใน แต่เหตุการณ์ตรงหน้าที่ฉันกำลังเผชิญอยู่นี้ ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนการตัดสินใจ เพราะอย่างน้อยช่วยให้พ่อไม่ทรมาน และที่สำคัญไม่สามารถปล่อยให้พ่อจากไปต่อหน้าต่อตาในอีกสองชั่วโมงได้

ระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล พ่อถูกมัดมือมัดเท้า ฉันรู้สึกแย่มากไม่คุ้นชินกับภาพคนที่เรารักถูกมัด และดิ้นทุรนทุราย ฉันสงสารพ่อจับใจพ่อต้องสู้กับตัวเอง สู้กับโรค สู้กับความเจ็บปวด แต่หลังจากใส่ท่อ พ่อก็นิ่งสงบลง

มีอยู่วันหนึ่งพ่อรู้สึกแสบร้อนที่หน้าอก ฉันเช็ดตัวพ่อและออกไปซักผ้าพอกลับมาฉันตกใจแทบลมจับพ่อตัวเขียวเพราะออกซิเจนไม่พอ หายใจไม่ออกใกล้ขาดลม สันนิษฐานว่าพ่อคงเอามือไปปัดจนท่อหลุด ฉันลนลานเรียกพยาบาลและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันไม่กล้าไปไหนไกล ยกเว้นว่ามีคนมาอยู่แทน

ช่วงเวลานั้น ฉันมีโอกาสได้บอกกับพ่อว่า พ่อเป็นมะเร็งที่ตับแต่ไม่ได้บอกว่าถึงขั้นไหน พ่อพูดอย่างปลงๆ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นแล้ว ทำยังไงได้ รักษาไม่หายก็ต้องตาย ไม่เหมือนตัดขา ตัดแล้วยังมีชีวิตอยู่” ฉันรู้สึกเช่นเดียวกันว่ามาถึงทางตันแล้ว ยอมรับแล้วว่าสุดท้ายคือ ความตาย แต่ชีวิตที่เหลืออยู่เพียงห้าวัน ฉันก็อยากทำให้มันมีความหมายมากที่สุด

ฉันสื่อสารกับพ่อผ่านการเขียนลงบนกระดาษ และดูสัญญาณมือ คอยถามพ่อว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นไหม ปวดลดลงไหม และอยากได้อะไร อยากเอาเทปธรรมะไหม ท่าทางพ่อไม่อยากได้อะไร และไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ยกเว้นรู้สึกร้อน ฉันซื้อพัดลมมาให้ และคอยเช็ดตัวอยู่ไม่ห่าง ยกเว้นตอนนอนที่ออกมาปูเสื่ออยู่หน้าห้องไอซียู

และแล้วเช้าวันหนึ่งพ่อเหลือบไปเห็นคนกินโอวัลติน พ่อชี้ไปที่เตียงข้างๆ และทำมือเหมือนดื่มน้ำ ฉันเลยถามพ่อว่าอยากกินใช่ไหม เพราะตอนพ่อยังไม่ป่วยจะกินโอวัลตินทุกเช้า แต่เนื่องจากหมอไม่ให้ดื่มอะไรเลยแม้แต่น้ำเปล่า ฉันเลยแอบเอาสำลีชุบโอวัลตินแล้วไปแตะที่ริมฝีปากของพ่อ พ่อเม้มปาก ฉันสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของพ่อดูสดชื่นขึ้น

ฉันคอยถามหมอถึงอาการของพ่อทุกวัน แม้หมอจะบอกว่าเหลือเพียงไม่กี่วันฉันก็หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ต่ออายุให้พ่ออีกสักหน่อย แต่ใจหนึ่งก็กลัวพ่อทรมาน พอถึงวันที่ห้า หมอบอกฉันว่าพ่อน่าจะอยู่ไม่เกินพรุ่งนี้ ฉันประเมินแล้วว่าพ่อน่าจะยอมรับความจริงได้ คืนนั้นฉันบอกว่าพ่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เวลาของพ่อใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าพ่อตายไม่ต้องเป็นห่วงลูก ไม่ได้แช่ง ไม่ได้อยากให้ตาย แต่อยากให้พ่อหมดห่วง ในนาทีนั้นฉันรู้ว่าพ่อรับรู้ เพราะถ้าพ่อไม่อยากฟัง จะโบกมือหรือส่ายหน้า

พ่อเป็นคนพูดจาโผงผาง เสียงดัง รักครอบครัว คุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่เคยตีฉัน แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่คุ้นเคยกับการแสดงความรัก แต่ในเวลานั้นฉันกอดพ่อ ฉันหอมแก้มพ่อ บอกรักพ่อ ถึงพ่อไม่อยู่แล้ว พ่อก็ยังเป็นพ่อของหนูตลอดไป จนวันรุ่งขึ้นแปดโมงเช้า เซนเซอร์วัดความดันค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนสัญญาณชีพดับลง พ่อจากไปอย่างสงบ ตาปิดลงไม่มีห่วงใดๆ

แม้ผ่านไปแล้ว 9 ปี ฉันยังคงคิดถึงพ่อ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าภารกิจสมบูรณ์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าฉันไม่ร้องไห้ฟูมฟายจนทำอะไรไม่ได้ แต่ฉันกลับทำอย่างดีที่สุดในทุกๆ วัน ช่วงเวลา 5 วันนั้นผ่านไปอย่างมีคุณค่าและน่าจดจำอย่างยิ่งในชีวิตของฉัน

เครดิตภาพ
https://pxhere.com/th/photo/205266
https://pixabay.com/th/schutzengelchen-ทูตสวรรค์-รูป-1912688/
https://pxhere.com/th/photo/621413

[seed_social]
19 เมษายน, 2561

เฮือนเย็น

สังคมไทยโชคดีที่มีวัฒนธรรมท้องถิ่นหลากหลาย และยังคงรักษาไว้ได้ แม้ในทางปฏิบัติจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่เป็นการปรับให้เข้ายุคสมัยโดยรักษาหลักการไว้มากกว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจของที่นั้นๆ เป็นสำคัญ
20 เมษายน, 2561

กลัว ไม่กลัว รู้ได้อย่างไร

นทีเริ่มปั่นป่วนดุจกระแสนทีที่เชี่ยวกราก – เอายังไงดี ...-ใจเต้นตูมตามยังไงๆ ก็จะเดินตามคนอื่น มั่วนิ่มตามๆ กันไป ระหว่างเดินไปๆ เมื่อบอกกับตัวเองว่าจะต้องไปเยี่ยมคนไข้ระยะสุดท้าย
19 เมษายน, 2561

ความตายไม่น่ากลัว ความกลัวตายต่างหากที่น่ากลัว

ดิฉันมักจะกลัวอนาคตค่ะ กลัวความตาย เนื่องจากสามีเป็นคนดี กลัวการพลัดพราก ไม่อยากผูกพันกับใครมาก ทำให้ไม่กล้านึกถึงอนาคตค่ะ เวลาที่จะซื้อคอนโดฯ ก็กลัวว่าถ้าเค้าเสียชีวิตแล้วดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันควรคิดอย่างไรดีคะ