parallax background
 

เงาสะท้อน

ผู้เขียน: ฮูนายเมี้ยน หมวด: ประสบการณ์ชีวิต


 

ผมไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพราะยิ่งสู้มากเท่าไหร่ก็เป็นการต่อสู้กับตัวเองทั้งสิ้น และไม่จำเป็นต้องหนีเพราะหนีเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพ้น เหมือนเงาตามติดตัวไปทุกที่

ถ้านิยามครอบครัวของผมเรียกได้ว่า ปิตาธิปไตย พ่อเป็นใหญ่ พ่อจะออกข้อบังคับและกติกาที่คนในบ้านจำเป็นต้องทำ และคอยตามไล่จี้ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ส่วนผมคงเป็นเหมือนกบฏคอยขัดขืน ต่อต้าน แต่ลงท้ายผมก็ทำได้เพียงต่อรองด้วยความเงียบ แต่ก็ทำได้ไม่นาน เพราะไม่เช่นนั้นพ่อจะเอาของที่ใกล้ตัวที่สุดมาดัดแปลงเป็นอุปกรณ์ใช้ลงโทษผม

จนถึงวันที่ผมเอนทรานซ์ ผมเลือกเข้ามหาวิทยาลัยต่างจังหวัดเผื่อจะได้อยู่หอพัก และโชคดีที่ผมสอบได้ แม้ว่าจะเป็นหอพักในมหาวิทยาลัยที่มีข้อกำหนดเข้มงวดกว่าหอพักทั่วไป แต่อย่างน้อยผมก็มีโอกาสสัมผัสกับคำว่า อิสรภาพ โอ้ว...มันช่างสดชื่น หายใจได้เต็มปอด และท้าทายเสียจริง

สำหรับคนอื่น การใช้ชีวิตอยู่หอพักถือเป็นการมาอยู่ชั่วคราว แต่สำหรับผม หอพักถือเป็นที่อยู่ถาวร ช่วงวันหยุด ผมจะหางานพิเศษทำแทนที่จะกลับบ้าน และฝึกฝนการใช้ชีวิตที่พึ่งพาตนเองให้มากที่สุด เพราะวางแผนไว้ว่าสักวันหนึ่งผมจะอยู่นอกบ้าน

ช่วงใกล้จบปริญญาตรี ดูท่าทางความฝันของผมจะใกล้เป็นจริง เพราะทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมจะทะเลาะกับพ่อรุนแรงขึ้น บ่อยขึ้น และจบลงด้วยการที่พ่อไล่ผมออกจากบ้าน ผมบอกกับตัวเองในใจว่าให้พ่อไล่ได้สามครั้ง เพราะครั้งที่สามผมจะไม่อยู่บ้านอีกต่อไปแล้ว

แล้ววันนั้นก็มาถึงจนได้ ผมสารภาพว่าตัวเองก็มีส่วนยั่วยุให้พ่ออารมณ์ขึ้นเช่นกัน มันจบลงตามที่ผมคาดไว้ คือ ไล่ออกจากบ้าน ผมเดินออกจากบ้านโดยไม่ได้เอาข้าวของอื่นๆ ติดตัวออกมาด้วย คิดไว้ว่าเดี๋ยวค่อยแอบกลับมาเก็บของวันพรุ่งนี้ช่วงที่พ่อไปทำงาน

แต่แม่เดาทางผมออก แม่ขอร้องให้พ่อโทรศัพท์มาหาผม คำแรกที่ออกจากปากของเขา คือ ขอโทษ ผมไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของพ่อ ผมนิ่งอึ้ง และด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ ผมน้ำตาไหลไม่รู้ตัว แม่รีบสำทับต่ออีกว่า “รีบกลับบ้านนะ แม่รออยู่” แล้วผมก็ยอมทำตาม

ด้วยถ้อยคำของแม่ที่ว่า “ให้ยอมๆ บ้าง บ้านจะได้สงบ” ผมจึงหันไปใช้วิธีตรงกันข้าม จากสู้เป็นหนีแทน ผมจะพูดกับพ่อให้น้อยที่สุด พอถึงบ้านก็เดินเข้าห้องนอน ความเก็บกดทำให้ผมพูดน้อยลงแต่หงุดหงิดมากขึ้น ผมจดจ่อกับชีวิตการทำงานและออกต่างจังหวัดบ่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อเริ่มถอยห่างกันทีละนิด จนบางครั้งเหมือนคนแปลกหน้ากัน

การที่เราไม่ทะเลาะกัน ทำให้ผมหลงเข้าใจว่าพ่อไม่สามารถมีอิทธิพลกับผมได้อีกต่อไป แต่ไม่เป็นจริงเลยสักนิด ถึงแม้ผมไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเขาโดยตรง แต่ก็เกี่ยวข้องกันทางอ้อมอยู่ดี ช่วงหลังๆ ผมพบว่า เวลาได้เจอเพื่อนร่วมงานที่เจ้ากี้เจ้าการหรือชอบบังคับ ผมจะไม่ชอบหน้าอย่างมาก อยากกระโดดหนีไปให้ไกล และถ้าเพื่อนคนนั้นยังตามมารุกรานไม่เลิกรา คราวนี้แหละผมจะเริ่มปะทะหรือเอาคืน ผมเริ่มเอะใจว่าเป็นเพราะผมไม่ชอบเขา หรือว่าเขาเป็นเงาสะท้อนของพ่อผมกันแน่

เหตุการณ์อย่างนี้ไม่ได้เกิดกับผมพียงคนเดียว เพื่อนของผมก็มีอาการไม่ต่างกัน โดยทั่วไปเขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนใจเย็น มีเหตุผล แต่ถ้าเจอคนเจ้าอารมณ์ ขี้โวยวาย เขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เริ่มยียวนกวนประสาทคู่กรณี เขาบอกว่านึกถึงแม่ที่ใช้แต่อารมณ์ไม่เคยมีเหตุผล และด่าด้วยเสียงอันดัง เพื่อนอีกคนก็เบื่อหน่ายคนขี้บ่นอย่างมาก และสวนกลับไปอย่างไม่รู้ตัวว่าให้หุบปาก เพราะชวนให้นึกถึงแม่ที่พูดย้ำซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้จักจบสิ้น

ผมตระหนักแล้วว่าไม่มีทางหนีพ่อได้อย่างแท้จริง ช่วงหลังผมเริ่มค้นพบความจริงอีกข้อว่า ตอนที่ผมทำงานเป็นหัวหน้า ลูกน้องบางคนบอกว่าบางครั้งผมดุ และเผด็จการอยู่บ้าง แรกๆ ผมรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ไม่มีวันที่ผมจะเป็นอย่างพ่อ แต่เมื่อคนพูดตรงกันหลายคนมากขึ้น ผมก็จำต้องยอมรับ แม้จะรู้สึกเกลียดตัวเองอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็คิดว่าทำดีที่สุดแล้วได้เท่านี้ แล้วย้อนกลับไปนึกถึงว่า พ่อก็คงทำดีที่สุดแล้วเช่นกัน

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเป็นธรรมดาที่ผมจะซึมซับสิ่งเหล่านี้มาทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ผมไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพราะยิ่งสู้มากเท่าไหร่ก็เป็นการต่อสู้กับตัวเองทั้งสิ้น และไม่จำเป็นต้องหนีเพราะหนีเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพ้น เหมือนเงาตามติดตัวไปทุกที่

อย่างไรก็ตามเงาที่คิดว่าเป็นด้านมืด เต็มไปด้วยอำนาจ สั่งการ และบังคับ แต่มองอีกด้าน เพราะเงาอันนี้แหละที่ทำให้ผมในช่วงวัยรุ่นลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว สามารถเผชิญปัญหาและแก้ไขได้ด้วยตัวเอง และเงานี้เช่นกันที่ทำให้ผมกล้าบุกเบิกและทำงานได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน

ทุกวันนี้ผมไม่ต้องสู้หรือหนีอีกต่อไปแล้ว
ผมแค่อยู่กับมัน ยินดีให้มันปรากฏออกมาบ้างเมื่อแดดแรง
และให้พักบ้างเมื่ออยู่ในที่ร่ม

เครดิตภาพ
https://pxhere.com/th/photo/1200364
https://pxhere.com/en/photo/686677
https://pxhere.com/th/photo/788488

[seed_social]
4 เมษายน, 2561

หลักการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้จากไปอย่างสงบทำอย่างไรได้บ้าง

ดีเจโจ้ (อัครพล ธนะวิทวิลาส) แม้ว่าร่างจะเหมือนกับตายแล้ว แต่คนที่ยังอยู่คือแฟนร้องไห้ บอกว่าอย่าเพิ่งไปนะ เขาจึงต้องทน จนกระทั่งแฟนบอกว่าไม่ต้องห่วงแล้ว เขาจึงจากไปด้วยดี เพราะสามารถปล่อยวางได้ ไม่ต้องห่วง
25 เมษายน, 2561

เตรียมพร้อมตกกระไดพลอยกระโจน

หลักคิดที่เป็นฐานในการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติธรรมของพี่ คือการลดละตัวกูของกู อย่าเห็นแก่ตัว และคลายความยึดติด นี่คือเรื่องจิตใจ ส่วนเรื่องร่างกายก็มีหลักการว่า ฉันต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง จะได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย
19 เมษายน, 2561

การให้อภัยผู้อื่น เพื่อลดปัญหาทางกายหรืออาการปวดของตนเอง

บางทีเราเจอผู้ป่วยที่มีปัญหาคาใจเรื่องการให้อภัย แล้วคนที่เป็นพยาบาลมีเวลาเจอกับผู้ป่วยไม่มาก จะมีเทคนิคง่ายๆ ที่พระคุณเจ้าจะให้คำแนะนำในเรื่องการให้อภัยผู้อื่นเพื่อลดปัญหาทางกายหรือว่าอาการปวดที่ตัวเองมีอย่างไรดี