
สันติสนทนาและบอกเล่าประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายกับคุณภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์ ผู้ใช้ทักษะการสื่อสารและการเขียนสะท้อนเรื่องราวความตาย การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย รวมถึงการเยียวยาภายหลังการสูญเสีย เป็นการเรียนรู้การสื่อสารกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายและทำความเข้าใจเรื่องความตาย กระบวนการต่างๆ ที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายและญาติหรือผู้ดูแลกำลังเผชิญอยู่ เพราะความตายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกคนจึงควรเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication) ที่นอกจากจะนำไปสู่การตายดีแล้ว ยังเป็นการสื่อสารเพื่อสานสัมพันธ์ เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่ายและความเข้าอกเข้าซึ่งกันและกัน
จุดเริ่มต้นความสนใจเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยวิธีการพูดคุยของคุณภัสน์วจี เกิดจากการมองเห็นของปัญหาสำคัญ 2 ประการ หนึ่ง คือ ความไม่เข้าใจระหว่างผู้ป่วยและผู้ดูแลหรือญาติของคนที่อยู่รอบตัว ถึงแม้ว่าจะมีความหวังดีต่อกัน แต่ด้วยความไม่เข้าใจกัน จึงนำไปสู่การดูแลที่ติดขัด ไม่ราบรื่น สอง คือ เมื่อคนรอบข้างของเธอเริ่มเจ็บป่วย ทำให้ต้องมาเป็นผู้ดูแล จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์และทักษะในการสื่อสาร เช่น กรณีของแม่และพี่ชาย ที่ได้สื่อสารพูดคุยกันถึงช่วงเวลาที่เหลืออยู่ว่าจะดูแลอย่างไร เพื่อให้ช่วงสุดท้ายของชีวิตมีคุณภาพและเป็นไปตามความต้องการของตัวผู้ป่วยมากที่สุด
สิ่งสำคัญเมื่อต้องสื่อสารกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย คุณภัสน์วจีให้คำแนะนำจากประสบการณ์ว่า เมื่อทราบข่าวคนใกล้ตัวป่วย หรือต้องไปพูดคุยกับผู้ป่วยในฐานะอาสาสมัคร ให้รวบรวมสติ ถามตัวเองก่อนว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ ค้นพบว่าตนเองต้องการอะไรจากการไปเยี่ยมหรือพูดคุย เพื่อหาวิธีตอบสนองความต้องการนั้นอย่างเหมาะสม ควรเตรียมตัวว่าการเข้าไปพูดคุยแบบไหนจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วย สภาวะจิตใจของผู้ป่วยอยู่ขั้นไหน ตกใจ ต่อรอง หรือยอมรับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งสำคัญในการสื่อสารอย่างสันติคือ “ความเข้าใจ” รับรู้ความรู้สึกและความต้องการทั้งของตนเองและผู้อื่น โดยอาศัย “การรับฟัง” ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสะท้อนความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริงของตนเองออกมา แตกต่างจากการเข้าหาผู้ป่วยพร้อมกับคำแนะนำหรือคำปลอบโยนในเชิงสั่งสอน เช่นการพูดว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย” “ปลงเสียเถิด” “มันเป็นกรรม” “ไหนๆ ก็เป็นแล้ว” ฯลฯ รวมถึงการแนะนำแนวทางการรักษา แม้เราจะมองว่าผู้ป่วยเลือกวิธีรักษาที่ไม่ถูกต้อง แต่เราต้องเคารพและสนับสนุนสิ่งที่ผู้ป่วยได้เลือกแล้ว เนื่องจากผู้ป่วยเป็นคนเผชิญกับสถานการณ์โดยตรง และปกติผู้ป่วยจะมีการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคหรือความเจ็บป่วยที่กำลังเผชิญอยู่แล้ว การไปเยี่ยมพร้อมชุดคำพูดหรือคำแนะนำในเชิงสั่งสอนจึงใช้ไม่ได้ผลเท่าใดนัก และแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจความต้องการของผู้ป่วย อาจเป็นเพียงการทำไปเพื่อความสบายใจของฝ่ายแนะนำ แต่อาจส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สบายใจหรือสับสนในสิ่งที่ตนเองเลือก ดังนั้นหากผู้เยี่ยมต้องการแนะนำใดๆ ควรถามความต้องการของผู้ป่วยก่อน เพราะผู้ป่วยอาจเพียงต้องการความเข้าใจและการรับฟัง ไม่ต้องการคำปลอบโยนใดๆ เลย
ทางด้านผู้ดูแล ควรกลับมาดูและสภาวะของตนเองด้วยเช่นกัน ว่ามีความรู้สึกหรือต้องการอะไร ถ้ารู้สึกว่าเหนื่อยเกินไปควรพักผ่อน ไม่ฝืน เพราะอาจทำให้เกิดแรงปะทะที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับผู้ป่วยได้
สามารถติดตามการสื่อสารอย่างสันติได้ในหนังสือเรื่อง คุยเป็นยา: ศิลปะการสื่อสารเพื่อเยียวยาใจผู้ป่วยและครอบครัว นำเสนอกระบวนการสื่อสารระหว่างกับผู้ป่วยกับญาติเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน และหนังสือประสบการณ์เผชิญความเจ็บป่วยจากการเป็นมะเร็งและการเป็นอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของอรทัย ชะฟู เรื่อง วันนี้คือของขวัญของชีวิต ซึ่งไม่ได้เน้นไปที่เรื่องการตายอย่างสงบของผู้ป่วยระยะสุดท้ายเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับญาติและผู้ดูแล ซึ่งสูญเสียผู้เป็นที่รักและมีภาวะโศกเศร้าเสียใจ และหนังสือเล่มล่าสุดที่คุณภัสน์วจีกำลังเขียนอยู่ เรื่องการเยียวยาภายหลังการสูญเสียเพื่อจะสื่อสารให้เข้าใจผู้ที่อยู่ในภาวะเศร้าเสียใจ ซึ่งต้องการความเข้าใจของคนรอบข้างและเครื่องมือที่จะทำให้คลายความเศร้าเสียใจลงได้
วันที่ออกอากาศ: 6 ธันวาคม 2563
ผู้เรียบเรียง: สุรพิน อยู่สว่าง