
คุยกับ เจนจิรา โลชา กระบวนกรอิสระ และนักจัดการเรียนรู้ด้านการอยู่และตายดีใน อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ผู้ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯมากว่า 12 ปี ก่อนตัดสินใจกลับบ้านและการทำงานในชุมชนบ้านเกิด นี่เป็นบทสัมภาษณ์ขนาดสั้นที่จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “ชุมชนกรุณา”
จุดเริ่มต้นของเจนจิรา
เราเป็นคนเชียงรายที่ย้ายไปทำงานในกรุงเทพฯนานถึง 12 ปี ก่อนตัดสินใจย้ายกลับบ้านเกิดใน อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เราตัดสินใจทำงานกับชุมชนของเราเอง เมื่อก่อนเวลาเข้าไปในชุมชน ชาวบ้านจะรู้แต่ว่า คนนี้เป็นลูกใคร มาจากบ้านไหน เท่านั้น แต่ตอนนี้เราเป็นมากกว่านั้น โรงพบาบาลแม่สรวยเป็นประตูบานแรกที่นำไปสู่ “ชุมชนกรุณา”
เริ่มแรกเราขอรายชื่อ อสม.ทั้งหมดจากโรงพยาบาลและโทรไปแนะนำตัวว่าเป็นใคร และจะทำอะไรบ้าง เบื้องต้นเราอยากรู้ว่าชุมชนของเรามีทัศนคติและวิธีในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายอย่างไรกันบ้าง จากนั้นเริ่มลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์ผู้ใหญ่บ้าน อสม. พระสงฆ์ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ดูแล ว่ามีระบบการจัดการกันอย่างไรบ้าง นอกจากชุมชนดูแลกันเองแล้วยังมีซิซเตอร์เข้ามาช่วยดูแล มีช่างตัดผมอาสาที่จะช่วยตัดผมให้ผู้ป่วยติดเตียงตามบ้านอีกด้วย รวมถึงมีการเยี่ยมผู้ป่วยถึงบ้านจากโครงการร่วมกันของรพ.และอบต. นั่นทำให้เราพบว่าชุมชนของเรามีระบบดูแลผู้ป่วยที่ดีอยู่เหมือนกัน
แล้วเก็บข้อมูลไปทำไมกัน?
การรู้ที่มาที่ไปของชุมชนมีประโยชน์ในระยะยาว พอเราได้ข้อมูลแล้วท้ายที่สุดจะคืนข้อมูลในชุมชนเพื่อให้เขาเห็นว่าชุมชนของตัวเองกำลังทำอะไรกันอยู่ และอยู่ในระดับไหนแล้ว
ผู้สูงอายุในชุมชนคิดอย่างไรกับความตาย?
เราพบว่าชาวบ้านทั่วไปไม่ได้กลัวหรือกังวลกับความตาย เขามองมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่กลัวการเจ็บปวด การนอนติดเตียง และเป็นภาระลูกหลานมากกว่า ตอนนี้การทำงานของเราไม่ได้ยากนัก เนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองจากรพ.แม่สรวยเคยจัดกิจกรรมกับผู้สูงอายุไปบ้างแล้ว การชวนคุยเรื่องความตายกับพวกเขาในครั้งก่อนนั้นทำให้เราเข้าทำงานได้ง่ายขึ้น
2 ปีที่ผ่านมากับชุมชนกรุณาในบ้านเกิดเป็นอย่างไรบ้าง
เดิมเราเคยเป็นกระบวนกรให้กับกลุ่มต่างๆหลากหลาย แต่พอมาทำงานชุมชนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการเคารพสิ่งที่คนในชุมชนคิดและเชื่อถือ บริบทสังคมกลายเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้ว่าเราคิดว่าชุมชนกรุณาเป็นสิ่งที่ดี แต่หากชุมชนไม่พร้อม เราทำได้เพียงแค่นำเสนอและบอกเล่าเท่านั้น อย่าเร่งเร้าหรือยัดเยียด แต่ต้องรอเวลา เมื่อถึงเวลามันจะงอกงาม และเกิดประโยชน์ได้เอง การทำงานชุมชนไม่สามารถทำคนเดียวได้ ชุมชนต้องช่วยเหลือ เราเองได้พี่ๆในรพ.แม่สรวยเป็นกัลยาณมิตา ทำให้ทำงานง่าย เพื่อนร่วมทางที่มีความคิดความเชื่อบนบนเส้นทางเดียวกันมันมีประโยชน์จริงๆ ปัจจุบันมี 8 หมู่บ้าน ใน ต.แม่สรวยเริ่มทำชุมชนกรุณาแล้ว (จากทั้งหมด 13 หมู่บ้าน) เราจะค่อยๆทำจนครบทุกหมู่บ้านและขยายไปตำบลอื่นๆด้วย เราเชื่อว่าชุมชนกรุณาเป็นเรื่องใหม่ในสังคม แม้อาจต้องใช้เวลาแต่เมื่อเวลาจะผลิดอกออกผลเอง
สมุดเบาใจ: ชื่อเบาๆ แต่เนื้อหาหนักหน่วง
ตัวเองมีความฝันว่าอยากให้คนไทยทุกคนมีสมุดเบาใจ ส่วนตัวเชื่อว่าเมื่อครอบครัวเกิดการสูญเสีย การมีสมุดเบาใจทำให้การจัดการภายในครอบครัวเป็นเรื่องง่าย ลดความขัดแย้งในครอบครัว และลดค่าใช้จ่ายของรพ. เราอบรมการใช้สมุดเบาใจให้แก่ผู้สูงอายุไม่เพียงเพื่อให้พวกเขาใช้ แต่เพื่อให้ชุมชนรับรู้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า “สมุดเบาใจ” อยู่นะ และมันใช้ยังไง มีไว้ทำไม และเขียนอย่างไรด้วย และเมื่อผู้สูงอายุรับรู้แล้ว รพ.จึงต้องกระตือรือร้นไปด้วย ผู้สูงอายุส่วนมากมองว่าการเขียนสมุดเบาใจเหมือนเป็นพันธะสัญญา เลยลังเลไม่มั่นใจ และรู้สึกเหมือนโดนผูกมัด บางคนบอกว่าต้องไปปรึกษาลูกหลานก่อน หรือยังไม่พร้อมจะทำ มีคำถามมากมายว่าหากเขียนลงไปแล้วจะแก้ภายหลังได้ไหม การพูดเรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป หากไม่อยากเขียนจะลองชวนคุยแล้วให้แต่ละคนค่อยๆเช็คตัวเอง เช่น ถามว่าอยากตายที่ไหน ที่บ้านหรือรพ. ถ้านอนติดเตียงแล้วอยากให้สอดท่อช่วยหายใจไหม ฯลฯ เน้นกับพวกเขาว่าถ้าไม่อยากเขียนลงไปก็ไม่เป็นไร แต่ต้องกลับไปคุยกับลูกหลานนะ และย้ำเสมอว่าสิ่งที่เขียนลงไปเราสามารถแก้ไขได้ตลอดเวลา
จริงๆแล้วเป้าหมายหนึ่งของการจัดกิจกรรมสมุดเบาใจคือการส่งเสียงถึงผู้สูงอายุกลายๆว่าที่รพ.ของเรามี Palliative Care อยู่นะ หากผู้สูงอายุอยากกลับไปเสียชีวิตที่บ้าน แล้วมีการแจ้งเจตจำนงให้แพทย์รู้ ญาติรู้ พวกเขาจะช่วยให้พวกท่านได้กลับบ้านทันที ไม่ต้องกลัวว่าจะเจ็บปวดจากการสอดท่อหรือมีหมอมายื้อชีวิตเลย ซึ่งมันทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นว่ารพ.มีทางเลือกให้เขา
มีเคสหนึ่งเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เราแนะนำให้ทำสมุดเบาใจ เมื่อเดินทางมาถึงช่วงเวลาสุดท้าย เขาไม่ขออะไรมากไปกว่าการบรรเทาความเจ็บปวด เขานำสมุดเบาใจไปที่รพ.แล้วแจ้งว่าอยากเสียชีวิตที่รพ. แพทย์จัดให้เขาอยู่ห้องพิเศษจนวาระสุดท้ายของชีวิตตามปรารถนา เพราะสมุดเบาใจทำให้ลูกๆของผู้ตายไม่ติดค้าง ไร้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เพราะทุกอย่างที่ทำเป็นการตัดสินใจของคนไข้เอง
สมุดเบาใจ: เริ่มต้นอย่างไรดี?
อันดับแรกเลยคือต้องทำความรู้จักสมุดเบาใจก่อนซึ่งสามารถดาวน์โหลดเนื้อหาได้ฟรีๆจาก เว็บไซต์ peachful death
(https://peacefuldeath.co/baojai/) ในเว็บไซต์จะมีความรู้ และคอร์สอบรมเกี่ยวกับสมุดเบาใจมีจัดต่อเนื่องเป็นระยะ เมื่อลองใช้งานเองจนเกิดความมั่นใจแล้วก็จะทำการสื่อสารได้เอง หลายท่านอาจกังวลว่าต้องชวนพ่อแม่นั่งทำจริงจังเลยหรือเปล่า? มันจะยากเกินไปไหม? แต่ที่จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำเต็มรูปแบบขนาดนั้นก็ได้ อาจใช้วิธีการลองคุยเล่น แล้วค่อยๆหยอดพวกท่านด้วยคำถามที่เกี่ยวข้อง (หลายคำถามมีในสมุดเบาใจ) ซึ่งคำถามหลักๆจะเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ผู้สูงอายุบางท่านอาจยังรู้สึกเป็นอัปมงคล จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก สิ่งสำคัญคือเราต้องหาจังหวี่เหมาะสม เช่น เมื่อญาติเสียก็ลองทำเหมือนถามท่านเล่นๆดูจะช่วยให้ผ่อนคลายกว่ามาก
เราควรจะปล่อยให้พ่อแม่ตายต่อหน้าจริงหรือ?
ในสังคมไทยเป็นเรื่องยากมากที่ลูกหลานจะปล่อยให้พ่อแม่ตายต่อหน้าต่อตา การยื้อชีวิตกับการปล่อยให้เสียชีวิตอย่างสงบสร้างความขัดแย้งในจิตใจสูงมาก จนบางครั้งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งของคนในครอบครัว การตัดสินใจล่วงหน้าอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของผู้ตายจึงอาจช่วยลดความขัดแย้งนี้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจร่วมของทั้งผู้ตายและลูกหลาน เราบอกเสมอว่า หากไม่มั่นใจในการเขียนสมุดเบาใจก็ให้ผู้สูงอายุคุยกับลูกหลานโดยตรงเลย แต่มักจะเกิดปัญหาเรื่องอำนาจในการตัดสินใจ ผู้สูงอายุบางรายไม่กล้าตัดสินใจเองจึงยกให้เป็นการตัดสินใจของลูกหลาน เมื่อถึงเวลาจริงๆลูกหลานจะตัดสินใจลำบาก ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ตรงปรารถนาของพ่อแม่และคนในครอบครัว การอบรมเรื่องสมุดเบาใจจึงไม่ได้ทำกับผู้สูงอายุเพียงทางเดียว แต่ต้องทำกับผู้ดูแลด้วยเพื่อให้เกิดความเข้าใจทุกฝ่ายด้วย
ความตายที่ปรารถนานำพาเรากลับบ้าน
ตลอด 12 ปีในกรุงเทพฯ เราได้ทำงานกับโครงการเผชิญความตายอย่างสงบอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นว่าช่วงเวลาที่คนกำลังตายเป็นโมเมนต์ที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาก มันเป็นโอกาสที่ไม่สามารถกลับมาแก้ตัวได้อีกแล้ว จึงอยากทำให้แต่ละคนมีช่วงสภาวะใกล้ตายที่สงบและเป็นสภาวะที่ต้องการ ทำให้พวกเขาไม่มีอะไรติดค้าง และไปสู่ภพภูมิที่ดี มันเป็นของขวัญที่เราทำให้กันได้ในวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างแท้จริง
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรากลับมาถามตัวเองอย่างจริงจังถึงความตาย เราพบว่าอยากตายที่บ้าน อยากอยู่รายล้อมมิตรสหายที่ดี มีโรงพยาบาลที่ดีใกล้ๆ เราอยากให้คนรอบตัวเรารู้ว่าเราเลือกการตายแบบไหน อยากให้ชาติภพนี้จบอย่างสวยงาม เราตั้งใจจะเผาทันทีหลังการเสียชีวิตเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ในความเป็นจริงอาจทำไม่ได้เพราะประเพณีทางเหนือเรียกว่าวันเสียหรือวันเน่า เป็นวันไม่ดี หากเผาศพในวันนั้นจะเกิดอาเพศ หากคนในครอบครัวเราทำตามความปรารถนาของเราแต่กลับไปขัดแย้งกับความเชื่อชุมชนอาจเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เราเลยเปลี่ยนสมุดเบาใจว่าให้เป็นการยืดหยุ่นตามสถานการณ์แทน ผู้จัดการจะได้ไม่ลำบากใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องเข้าใจว่าชุมชนกรุณาจะเป็นแค่เราคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องเกื้อหนุนกันทุกฝ่าย
การนึกถึงความตายสัมพันธ์กับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน มันทำให้เราระลึกเสมอว่า เมื่อไม่รู้วันตายเราจึงต้องปฏิบัติต่อคนรอบข้างในปัจจุบันอย่างดีที่สุด ทำให้เราคิดทบทวนอย่างจริงจังถึงชีวิตที่เหลือว่าอยากอยู่แบบไหน มีจุดมุ่งหมายอะไร อยากสะสางอะไร และอยู่ไปเพื่ออะไร สิ่งใดติดค้างในใจ มันทำให้เราพยายามมีชีวิตปัจจุบันอย่างดี และเมื่อเสียชีวิตไปจะไม่มีอะไรน่าเสียดายอีกต่อไป เพราะการคิดเรื่องวาระสุดท้ายของชีวิตกำหนดการกระทำปัจจุบันของเราเสมอ
วันที่ออกอากาศ: 24 สิงหาคม 2563
ผู้เรียบเรียง: ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์