
หลังจากกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่ทำให้ศักยภาพการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในชุมชนเลือนหายไป ตลอดช่วง 50 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการดึงพลังชุมชนในบริบทสังคมสมัยใหม่ให้กลับมามีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยในชุมชน
คุณสุ้ย วรรณา จารุสมบูรณ์ ผู้ดูแลโครงการชมุชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี และตัวแทนของเครือข่ายทำงานต่างๆ มาร่วมกันถอดบทเรียนเรื่องการออกแบบสภาพแวดล้อมให้ชุมชนเอื้อต่อการอยู่และตายดี โดยรวบรวมประสบการณ์จากคนที่ทำงานกับผู้ป่วยระยะท้ายหรือทำงานชุมชน มาร่วมกันทำให้เห็นหัวใจสำคัญของการทำงานกับชุมชน ว่ามีกระบวนการหรือขั้นตอนอะไรที่ช่วยให้การทำงานราบรื่นและสะดวกขึ้น โดยสรุปออกมาเป็นภาพรวมของการดูแลแบบประคับประคองในภาคชุมชน หรือ “coco canvas compassionate community canvas : ผืนผ้าใบที่จะสร้างชุมชนกรุณา” ในพื้นที่ 6 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 คือการทบทวนตัวเอง ขั้นที่ 2 คือการกำหนดว่าชุมชนที่จะทำงานด้วยมีลักษณะอย่างไร ขั้นที่ 3 คือการทำเครือข่ายชุมชน (Network Mapping) ขั้นที่ 4 คือภาวะผู้นำร่วม เราจะทำงานกับผู้นำคนไหนบ้างและจะทำงานร่วมกันอย่างไร ขั้นที่ 5 คือการลงมือสร้างพื้นที่การทำงานร่วมกัน และขั้นที่ 6 คือการออกแบบระบบการสื่อสารในการทำงานร่วมกัน
ในขั้นตอนที่ 1 คือการทบทวนตนเอง คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าคนที่ทำงานชุมชน ต้องมีแรงบันดาลใจหรือมีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไป เพราะคนที่ไม่ได้รักงานชุมชนหรือไม่มีอุดมคติที่สูงส่งก็ทำงานชุมชนได้ เช่น บางคนอาจเข้ามาเนื่องจากมีสมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วย คิดว่าถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน หลังจากใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ มายาวนาน และปรารถนาที่จะเตรียมตัวดูแลพ่อแม่ให้ตายดี เป็นต้น การทำความเข้าใจตนเองว่า การทำงานนี้มีความหมายกับชีวิตของเราอย่างไร อะไรทำให้เราพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้คนเหล่านี้ เมื่อพบเจออุปสรรคปัญหา การกลับมามองเห็นเจตจำนงของตัวเอง จะเป็นพลังให้ก้าวผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไปได้
ขั้นที่ 2 เรื่องการกำหนดขอบเขตชุมชน “นิยามของคำว่าชุมชน” ไม่ได้ตายตัวและมีรูปแบบที่เหมือนกัน เนื่องจากชุมชนมีความซับซ้อนและแตกต่างหลากหลาย บุคลากรที่ทำงานชุมชนอยู่แล้วอาจจะทำงานได้ง่ายเพราะคลุกคลีอยู่กับพื้นที่และหน่วยงานต่างๆ แต่มีชุมชนที่ไม่ไช่การแบ่งเขตการปกครอง เช่น ชุมชนตลาดที่มีลักษณะไม่เหมือนชุมชนในชนบท หรือชุมชน Self-help group ที่ไม่ได้เป็นชุมชนรูปธรรมจับต้องได้ เพราะชุมชนคือกลุ่มบุคคลที่มารวมตัวกัน เราต้องกำหนดว่าจะทำงานในขอบเขตไหนของชุมชนให้ชัดเจน
การทำงานกับชุมชนที่มีหลากหลายรูปแบบ จะต้องเริ่มจากการรู้จักชุมชน ด้วยการเข้าหาผู้รู้หรือคนที่น่าสนใจ กว้างขวาง มีความชำนาญ รู้จักผู้คน เห็นภาพรวมของชุมชนในขอบเขตที่เราทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ วัฒนธรรมความเชื่อค่านิยม ความขัดแย้ง จารีตประเพณี โครงสร้าง ประวัติศาสตร์ชุมชน หรือศึกษาจากเอกสารหรือข้อมูลความรู้เกี่ยวกับลักษณะของชุมชนที่เราต้องการร่วมทำงานด้วย เช่น ชุมชนชายขอบ ชุมชนชาติพันธุ์ เป็นต้น เพื่อทำความเข้าใจบริบทความเป็นชุมชน
ขั้นที่ 3 การเขียนแผนที่เครือข่ายความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องในชุมชน กำหนดบทบาทของคนในชุมชน ผู้ทรงอิทธิพลในชุมชน เพื่อทำให้เรารู้ว่าควรจะไปทำงานกับใคร สร้างความร่วมมือกับใคร เครื่องมือการทำแผนที่ชุมชน ช่วยทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนทั้งทางกายภาพ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ หรือปฏิสัมพันธ์ของผู้คนที่เกี่ยวข้อง เห็นแหล่งทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชน หากต้องการจะเข้าใจอย่างรวดเร็วอาจลงพื้นที่กับครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง เข้าไปสังเกตการณ์ พูดคุย ดูว่าที่ผ่านมาเขาเผชิญสถานการณ์อย่างไร จะทำให้เราเห็นตัวละครและสืบสาวหาคนที่เราต้องไปเกี่ยวข้องจนพบ
ขั้นที่ 4 การทำงานกับผู้นำในเครือข่าย การทำงานชุมชนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานในลักษณะผู้นำร่วม ไม่ใช่ผู้นำเดี่ยว ซึ่งภาวะผู้นำร่วมอาจจะมีอยู่ในชุมชนอยู่แล้ว แต่ไม่ถูกเน้นให้เห็นชัดเจน การทำงานกับผู้นำชุมชนคือการทำให้เขาเห็นศักยภาพความเป็นผู้นำที่มีอยู่ในตัวเองและคนอื่น คือการเชื่อมโยงคุณสมบัติของผู้นำต่างๆ เข้าหากัน เชื่อมโยงความสามารถที่แตกต่างกันของคนในชุมชนให้มาทำงานร่วมกัน ด้วยการทำงานที่ให้เกียรติ ให้การยอมรับ ให้ตัวตน ซึ่งจะทำให้เราสามารถพูดคุยกันถึงเป้าหมายการทำงานเพื่อบรรลุผลร่วมกันได้ การนำประสบการณ์ของผู้คนมาเชื่อมประสานกันและใช้ “ภาวะผู้นำร่วม” ทำให้เกิดคุณค่าที่แตกต่างจากการนำเชิงเดี่ยวหรือการนำแบบ one man show เช่น การสำรวจผู้ป่วยหรือภาวะพิการในพื้นที่ร่วมกัน แล้วมาพูดคุยแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของแต่ละคน
อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากคือ การวางท่าทีในการทำงาน ที่ให้คุณค่ากับการรับฟังซึ่งกันและกัน หรือการยอมรับความเห็นต่างโดยไม่แตกแยก เป็นเหมือนการสร้างค่านิยมในการทำงาน ที่จะทำให้เราทำงานร่วมกับผู้คนได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่ลงรอยกัน
ขั้นที่ 5 การลงพื้นที่ทำงานร่วมกัน แม้ว่าแต่ละชุมชนมีพื้นที่แตกต่างกัน แต่ประเด็นหนึ่งที่ทุกชุมชนจะต้องทำเหมือนๆ กันคือ การสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย การสร้างพื้นที่ตายดี การเผชิญการสูญเสีย หลายชุมชนใช้วิธีการจัดอบรม ให้ความรู้เรื่องการดูแลประคับประคองและการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายเบื้องต้น ซึ่งช่วยปูพื้นฐานให้คนที่ยังไม่มีทักษะหรือประสบการณ์ รู้ด้วยตัวเองว่าความรู้อะไรที่มีความสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้ดูแลมีอย่างมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น ต่อมาต้องมีทักษะที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ป่วยระยะท้าย เช่น การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การทำให้ผู้ป่วยพึ่งพาตนเองได้บ้าง ทักษะบางอย่างเรียนรู้ในห้องอบรมได้ แต่บางอย่างต้องฝึกฝนจากการปฏิบัติจริง นอกจากนี้ การกลับมาสะท้อนความเห็น ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเอง เช่น วันนี้เรารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ดูแลคนไข้ ฯลฯ การถอดบทเรียนการทำงานร่วมกันและพร้อมที่จะเรียนรู้ ปรับปรุงแก้ไข ให้กำลังใจกัน เห็นภาพรวมการทำงาน และการเชื่อมโยงทรัพยากรการช่วยเหลือกันในการทำงาน เป็นหัวใจของการทำงาน
ขั้นที่ 6 คือ การออกแบบการติดต่อสื่อสาร การติดต่อสมาชิกจะมีกฎกติกามารยาทในการสื่อสารอย่างไร จะใช้ช่องทางไหนในการพูดคุยแลกเปลี่ยน นัดประชุม หรือว่าแก้ปัญหา ควรออกแบบอย่างเป็นระบบ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ต้องสังเกตและทบทวนว่าทำแบบไหนได้ดี เพราะแต่ละชุมชนจะมีช่องทาง วิธีการ หรือวัฒนธรรมการติดต่อสื่อสารที่ไม่เหมือนกัน เช่น บางชุมชนอาจเลือกใช้พื้นที่ออนไลน์เชื่อมโยงข้อมูลเครือข่าย เป็นต้น ประเด็นสำคัญของการติดต่อสื่อสารคือ เราจะต้องมีความชัดเจนว่าจะสื่อสารเรื่องอะไรและต้องการให้เกิดผลอะไร เป้าหมายของการสื่อสารเป็นไปเพื่อให้คนภายนอกรับรู้หรือให้คนทำงานรับรู้ และจะต้องมีการพูดคุยกันให้ชัดเจนเป็นระยะว่า ระบบการสื่อสารที่ออกแบบใช้งานได้ดีหรือไม่
สรุปแล้วทั้ง 6 ขั้นตอน คือกระบวนการทำงานเรื่องการดูแลแบบประคับประคองในชุมชน เพื่อช่วยให้การทำงานกับผู้ป่วยระยะท้าย ผู้พิการ ในชุมชนกรุณา เชื่อมโยงเข้ากับบริบทของแต่ละชุมชน และช่วยทำให้คนที่สนใจทำงานชุมชน รวมถึงบุคลากร หรือคนที่มีบทบาทอยู่แล้วมีเครื่องมือการทำงานที่ชัดเจนขึ้น
วันที่ออกอากาศ: 4 เมษายน 2564
ผู้เรียบเรียง: ศิริรุ่ง ศรีสิทธิพิศาลภพ