การทำห้อง Dying Room ในโรงพยาบาล

ผู้เขียน: ชัชชล อัจนากิตติ

ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนเดินทางไกลของผู้ป่วยระยะประคับประคองนับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญและมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งต่อตัวผู้ป่วย ครอบครัว ตลอดจนทีมแพทย์ผู้ดูแล ดังนั้น การออกแบบและจัดการพื้นที่ที่เหมาะสมในการให้การดูแลรักษาซึ่งเรียกว่า Dying Room จึงเป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและการดูแลของผู้คนรอบข้าง ด้วยเหตุนี้ Peaceful Death จึงได้จัดวงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ “ชีวาภิบาล sharing practice” ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “การทำห้อง Dying Room ในโรงพยาบาล” ขึ้น ในวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 โดยได้ชวนวิทยากรผู้มีประสบการณ์ในการจัดบริการห้อง Dying Room ในลักษณะต่าง ๆ ทั้งในโรงพยาบาลและในสถานดูแลผู้สูงอายุมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ 3 ท่าน ได้แก่ หมอบาส พญ.จิราภา คชวัฒน์ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ประจำศูนย์ชีวาประทีป โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดกรุงเทพมหานคร หมอแจ็ค นพ.วัชรพงษ์ รินทระ หัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ประคับประคอง โรงพยาบาลขอนแก่น และ ผอ.อร อรอุมา อินทฉาย ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ บางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยวิทยากรแต่ละท่านได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่มีความแตกต่างหลากหลายและได้ถอดบทเรียนสำคัญในการจัดทำห้อง Dying Room ในบริบทของตัวเองไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

โรงพยาบาลสิรินธร : ห้องพิเศษในหอผู้ป่วย

หมอบาส หรือ พญ.จิราภา แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ผู้ดูแลงานประคับประคองเต็มเวลา เล่าว่าปกติการดูแลผู้ป่วยประคับประคองที่โรงพยาบาลจะให้การดูแลทั้งในแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ตลอดจนการส่งต่อเยี่ยมบ้าน อย่างไรก็ตาม ในการดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วย ตอนนี้งานด้านการดูแลประคับประคองยังไม่มีหอผู้ป่วยเป็นของตัวเอง แต่จะรับปรึกษาจากคุณหมอเจ้าของไข้ ดั้งนั้น เมื่อเข้าไปดูแลจนถึงจุดหนึ่ง ผู้ป่วยเข้าสู่วาระสุดท้าย ก็จะทำการประชุมครอบครัวว่าเมื่อถึงวาระสุดท้ายแล้วผู้ป่วยอยากจะเสียชีวิตที่ไหน อย่างไร โดยปกติถ้าเป็นต่างจังหวัด คนก็จะอยากกลับบ้าน แต่ในบริบทกรุงเทพฯ การกลับไปเสียชีวิตที่บ้านอาจเป็นเรื่องลำบาก เนื่องจากสังคมเมือง ผู้ป่วยอาจอยู่บ้านเช่าหรือคอนโดที่ไม่สะดวก ก็จะเลือกอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่า

“พอเป็นโรงพยาบาล เราก็อยากให้เขาใช้เวลาในวาระสุดท้ายให้แฮปปี้ ได้อยู่กับครอบครัว อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ญาติสามารถเฝ้าได้ แต่เนื่องจากใน setting โรงพยาบาลรัฐ เรายังเป็นวอร์ดรวม ยังจำกัดเวลาเยี่ยม ทำให้ญาติไม่สามารถเฝ้าได้ตลอด แต่ในช่วงวาระสุดท้าย อาจจะเป็นช่วงที่หมดเวลาเยี่ยมไปแล้ว เราก็จะพยายามเชียร์ว่าเข้าห้องพิเศษไหม แต่มันก็เหมือนจะเป็นภาระของครอบครัว ว่าถ้าอยากดูแลในวาระสุดท้ายต้องจ่ายเงินค่าห้องพิเศษใช่ไหม แต่เราจะเห็นว่ามีผู้ป่วยที่ไม่มีเงิน ฐานะไม่ดี เขาก็จะต้องเสียชีวิตในหอผู้ป่วยที่ญาติไม่ได้มาเยี่ยม และการดูแลไม่ได้เป็น intensive care ในระยะท้ายเท่าที่ควร จึงเกิดแนวคิดขึ้น โดยเราก็ยังมีกำลังไม่พอที่จะเปิดวอร์ด ดังนั้น เปิดห้องมาห้องหนึ่งในหอผู้ป่วยสามัญ เราก็ระดมการบริจาคเพื่อปรับปรุงห้อง ให้เหมือนห้องพิเศษมากที่สุด แต่เราจะไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและครอบครัว” หมอบาส กล่าวถึงที่มาที่ไปของการเกิดห้อง dying room ที่สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของคนไข้ในสังคมเมือง

ส่วนการประเมินผู้ป่วยที่จะเข้ามาใช้ห้องดังกล่าว พญ.จิราภา อธิบายว่าจะมีการกำหนดเกณฑ์ว่ากรณีใดเข้าได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยที่ผ่านการปรึกษาทีมดูแลประคับประคอง โดยมีหมอบาสเป็นแพทย์เจ้าของไข้ และพิจารณาว่าอยู่ช่วงท้ายแล้ว การพยากรณ์โรคน่าจะอยู่ในหลักวัน ทั้งนี้ ก่อนจะเข้าห้อง จะมีการเซ็นรับทราบว่าการดูแลในห้องนี้ไม่เหมือนการดูแลทั่วไป ไม่มีการเจาะเลือดหรือให้น้ำเกลือที่อาจไม่เกิดประโยชน์ แต่จะเน้นการดูแลประคับประคองและเน้นความสุขสบาย หรือ comfort care อย่างไรก็ดี การสื่อสารหรือเรียกชื่อห้องว่า dying room ในที่นี้จะใช้เพื่อสื่อสารภายในทีมดูแลเท่านั้น แต่จะหลีกเลี่ยงไม่เรียกชื่อดังกล่าวกับคนไข้ หากจะเรียกว่าห้องแยกให้ญาติสามารถเฝ้าได้ 24 ชั่วโมง เพราะเกรงว่าญาติจะรู้สึกอ่อนไหว หรือคนภายนอกจะมองว่าถ้าเข้าไปในห้องนี้แล้วต้องเสียชีวิตทุกราย ขณะเดียวกันก็มีการออกแบบให้เหมาะสมกับการดูแลระยะท้าย ซึ่งจะแตกต่างจากห้องพิเศษทั่วไป เช่น การตกแต่งให้ดูเหมือนบ้าน ไม่มีสายระโยงระยาง มีโซฟาที่ปรับเป็นเตียงนอนได้ และมีห้องน้ำในตัว เพื่อให้ครอบครัวสามารถใช้เวลาในระยะท้ายได้อย่างสะดวกสบายมากที่สุด

โรงพยาบาลขอนแก่น : วอร์ดพลังใจ หอผู้ป่วยประคับประคอง

หมอแจ็ค นพ.วัชรพงษ์ กล่าวถึงที่มาที่ไปของการพัฒนาหอผู้ป่วยประคับประคองว่า เริ่มต้นจากการเรียนรู้จากศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ซึ่งบุคลากรในโรงพยาบาลขอนแก่นก็เป็นผลผลิตของศูนย์การุณรักษ์ ซึ่งเป็นรุ่นแรก ๆ ที่ทำงานด้านการดูแลประคับประคองอย่างจริงจัง ดังนั้น ก็จะมีจำนวนเคสมากกว่าที่อื่นค่อนข้างเยอะ จำนวนเคสที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันอยู่ที่ 3,780 เคสต่อปี หรือประมาณ 10-20 เคสต่อวัน โดยในอดีต เริ่มต้นจากมีเคสจำนวนหนึ่งที่เข้าห้องพิเศษ คิดเป็นเดือนละหนี่งถึงสองเคสต่อเดือน ซึ่งช่วงนั้นเหมือนเป็นช่วงฝึกวิชาของทีมแพทย์ผู้ดูแล อย่างไรก็ตาม ตอนที่อยู่ในห้องพิเศษ มีข้อจำกัดคือรับคนไข้ได้ประมาณ 20 เคสต่อปี ก่อนที่หมอแจ็คจะเล่าต่อถึงพัฒนาการซึ่งนำมาสู่การจัดตั้ง “วอร์ดพลังใจ” อย่างก้าวกระโดดว่า

“โชคดีก็คือ เราช่วยวอร์ดอายุกรรมค่อนข้างเยอะ ผมเลขขอพื้นที่สัก 4 เตียง เพื่อรับคนไข้ที่อาจจะไม่มีเงินเข้าห้องพิเศษเพื่อมาดูแลประคับประคองเต็มที่ เลยมีโอกาสทดลองทำจาก pc bed ในห้องผู้ป่วยพิเศษ เป็น pc corner จำนวน 4 เตียง ทดลองหนึ่งปีได้ ก็รับย้ายได้เพิ่มขึ้นจากปีละประมาณ 20 เคสเป็น 199 เคส และพอปีถัดมาก็มีนโยบายชีวาภิบาลมาพอดี ช่วงนั้นก็มีข่าวว่าท่าน รมต.ชลน่านจะมา ผมก็เลยชงไปว่าขอเปิดเป็นวอร์ด ไม่ได้เต็มวอร์ด แต่ขอล็อคหนึ่ง เพิ่มมาเป็น 8 เตียง และมีงบประมาณจากโรงพยาบาลมาปรับปรุงวอร์ดให้มันหน้าตาไม่เหมือนวอร์ดทั่วไป ก็ถือว่าโชคดีที่มีนโยบายมา และเราก็พร้อมที่จะทำตรงนี้ มาบรรจบกัน ปีที่ผ่านมารับคนไข้มา 602 เคส”

ส่วนในด้านการจัดการ หมอแจ็ค อธิบายว่าหน้าตาวอร์ดก็เหมือนหอผู้ป่วยทั่วไป เพียงแต่ตกแต่งบางอย่างให้เหมือนบ้าน เตียงล็อคหนึ่งจาก 12 เตียง ชิดกันเกินไป ก็เอาออกให้เหลือ 8 เตียง เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติมีพื้นที่ปลอดภัย ส่วนระยะเวลาในการครองเตียงค่อนข้างเร็ว ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ โดยหอผู้ป่วยตรงนี้จะรับทั้งผู้ป่วยระยะท้ายที่ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือระยะที่ขอใส่ท่อช่วยหายใจไว้ก่อน ยังไม่กล้าถอด ก็จะรับย้ายมาวอร์ดนี้ ซึ่งเปิดโอกาสให้ญาติเฝ้าได้ตลอด

“การที่มีวอร์ดก็จะได้เห็นความรักความเข้าใจของญาติ บางเคสเราไม่เคยเห็นญาติมา แล้วไปตีความว่าเขาไม่ได้มาเฝ้าเลยนะ แต่จริง ๆ เขาอาจจะสะดวกมาช่วงกลางคืน พอเปิดให้เฝ้าได้ตลอด หมอก็มีโอกาสเจอญาติมากขึ้น รวมถึงบางเคสที่ไม่มีผู้ดูแล หลักการในการคิดของผมได้มาจากอาจารย์ที่มาเลยเซีย quality of life เท่ากับ meaning of life หลักการจัดการวอร์ดที่นี่ ถ้ายังปวดยังหอบอยู่ คิดว่าชีวิตยังมีความหมายไหม มันหาความหมายไม่เจอ เราต้องจัดการความปวดตรงนี้ให้ได้ ข้อดีของการมีวอร์ดคือเราราวเช้า เย็น บ่าย ดึกได้เลย รวมถึงทีมพยาบาลที่มีประสบการณ์มากขึ้นในการให้ยาจัดการอาการปวด”

สำหรับการดูแลในหอผู้ป่วยแห่งนี้ นพ.วัชรพงษ์ กล่าวว่าในเชิงการจัดการเรื่องโรค อาจจะไม่ได้ทำเพื่อการรักษาแล้ว แต่จะเน้นความเข้มข้นในเชิงการประเมินอาการปวด อาการหอบ มีแบบฟอร์มการประเมิน   ต่าง ๆ รวมถึงการประเมินญาติ เนื่องจากทีมดูแลจะเห็นความทุกข์ของญาติในแต่ละวัน แต่ละคน ซึ่งจะกังวลไม่เหมือนกัน ก็ต้องอธิบายและเสนอแนวทางต่าง ๆ ผ่านการพูดคุยทุกวัน ที่สำคัญ นอกจากดูแลผู้ป่วยก็จะต้องดูแลญาติประกอบกัน อย่างไรก็ดี การบุกเบิกการทำงานด้านนี้มากว่า 10 ปี ก็มีส่วนสำคัญและเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลขอนแก่น ซึ่งทำให้แพทย์ในแผนกอื่น ๆ คุ้นเคย เข้าใจ และสามารถส่งต่อผู้ป่วยมาให้งานดูแลประคับประคองได้อย่างเหมาะสม และมีแนวโน้มว่าจะต้องขยายจำนวนเตียงให้เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ หมอแจ็ค ได้สรุปความสำคัญของหอดูแลผู้ป่วยประคับประคองไว้อย่างน่าสนใจ “วอร์ด palliative care  เหมือนชานพักบันได บางครั้งผู้ป่วยและญาติไม่กล้าโดดลงพื้นเลย เขาก็จะลงมาที่วอร์ดตรงนี้ก่อน ให้มั่นใจตรงนี้ก่อน แล้วอาจจะขอถอดท่อช่วยหายใจ ยอมรับการเสียชีวิต หรือจะพากลับบ้าน ก็จะเป็นทางลงของระบบสุขภาพ”

ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบางละมุง : สง่างาม สงบ และสมปรารถนา

สำหรับการจัดการพื้นที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล ผอ.อรอุมา เล่าถึงจุดเริ่มต้นแนวคิดดังกล่าวที่ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 23 ปีก่อน ในขณะที่ทำหน้าที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ในสถานดูแลคนชราที่จังหวัดนครราชสีมา คุณยายคนหนึ่งชอบมาชวนเราคุยว่าพอเห็นเพื่อนผู้สูงอายุป่วยหนักในโซนคนป่วย เป็นภาพที่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้น ถ้าถึงวันของตัวเอง หากต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ท่านก็ไม่อยากนอนรอความตาย ไม่อยากให้ใครเห็นภาพสุดท้ายของตัวเองว่าเป็นผู้ป่วยแบบนั้น อยากให้มีม่านหรือมีฉากมากั้นเป็นสัดส่วน ขณะนั้น สิ่งที่คุณยายชวนคุย เจ้าหน้าที่ก็ได้ปรึกษากับพยาบาลและผู้ดูแล เพื่อสร้างคาวมเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยกลุ่มนี้

“มีเคสหนึ่งที่จำได้แม่น คุณยายคนหนึ่ง ท่านอยากมีตุ๊กตาหมีอยู่รอบตัวท่าน ในวัยเด็กฐานะยากจน เราก็เลยใช้การประชาสัมพันธ์ก็ได้ตุ๊กตาหมีมาพอสมควร แล้วท่านก็เสียชีวิต อยู่กับตุ๊กตาหมีอยู่เกือบเดือน และเราก็ยังจำภาพความสุขของคุณยายได้ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าถ้ามีห้องลักษณะนี้ในสถานสงเคราะห์อื่น ๆ ก็คงจะดี เพราะผู้สูงอายุก็อยากจะมีห้องที่สามารถจัดบรรยากาศได้อย่างที่ตัวเองต้องการในวาระสุดท้าย” ผอ.อร ย้อนความหลัง

ก่อนจะเล่าต่อว่าเมื่อได้มีโอกาสทำห้องที่บ้านบางละมุงชลบุรี ใช้ชื่อห้องว่าสุขปลายทาง ซึ่งในปีนี้ได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานชีวาภิบาลในระดับชุมชน ทั้งสถานสงเคราะห์มีคุณตาคุณยายจำนวนทั้งหมด 180 คน มีกลุ่มทีเป็นผู้ป่วยติดเตียงและโรคชราประมาณ 45 คน และมีการปรับอาคารพยาบาล ให้มีมีวอร์ดใหญ่และมีห้องเฉพาะ ที่สำคัญ ได้เปลี่ยนบรรยากาศอาคารผู้ป่วยทั้งหมดเป็นงานศิลปะผ่านกระบวนการ art care เช่น เพนท์ท้องฟ้าตามจุดต่าง ๆ ที่เป็นฝ้าเพดานทั้งหมด รวมถึงถ่ายรูปดอกไม้สวย ๆ จากเจ้าหน้าที่ ทั้งดอกไม้ในศูนย์ ในบ้านพัก และตามจุดเช็คอินต่าง ๆ ของจังหวัดชลบุรี และนำมาจัดวางเป็นงานศิลปะ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าไม่ได้นอนอย่างเหงา ๆ

อย่างไรก็ดี สำหรับห้องสุขปลายทาง ผู้สูงอายุหรือญาติบางคนอาจยังมีทัศนะคติที่ไม่เข้าใจ รู้สึกว่าเป็นห้องที่มานอนรอความตาย จึงมีการสื่อสารและสร้างความเข้าใจ คุณตาคุณยายที่นี่เลยไม่กลัว นอกจากนี้ผู้สูงอายุเองสามารถเลือกใช้บริการได้ ไม่มีการบังคับ ถ้าท่านไหนประสงค์จะใช้ห้อง ท่านก็จะระบุในสมุดเบาใจ หรือบางท่านติดอาคารพักของตัวเอง เจ้าหน้าที่ก็จะปรับเปลี่ยนมุมห้องให้ เพราะไม่ต้องการให้เป็นเรื่องตายตัวว่าจะต้องมาใช้ห้องสุขปลายทางเท่านั้น ผู้สูงอายุท่านมีสิทธิ์ที่จะเลือกออกแบบการเตรียมความพร้อมต่อการตายของตัวเอง โดยที่มีพยาบาลวิชาชีพ นักกายภาพ นักสังคมสงเคราะห์ทำงานร่วมกัน ทำให้การดูแลค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีแพทย์ทั่วไปมาตรวจสุขภาพให้เดือนละสองครั้ง และตอนนี้ก็มีแผนในกาพัฒนาทีมดูแลประคับประคองเข้ามาดูแลเป็นการเฉพาะ หลังจากทำห้องดังกล่าว มีกรณีผู้ป่วยคนหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำ นั่นคือคุณยาย ผู้ป่วยโรคมะเร็งซึ่งมีแผลขนาดใหญ่ และได้แบ่งปันเรื่องราวความเหงาให้ ผอ.อร ฟัง ขณะที่เธอเข้าไปทำแผล

“พอมาอยู่บ้านพักคนชรา มีคุณยายคุณตาเยอะมากเลย ก็คิดว่าการมีเพื่อนน่าจะแก้เหงาได้ ตอนเช้าคุณยายก็ไปร่วมกิจกรรม เช่น ตอนเช้ามีกิจกรรมสวดมนต์ แต่กลับกลายเป็นว่าช่วงแรกไปได้ปกติ ช่วงหลังเพื่อน ๆ เริ่มขยับหนี ไม่เข้าใกล้ คุณยายเลยถามว่าเอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น ก็เลยมีคำพูดที่ว่าคุณยายเป็นมะเร็ง มีแผลใหญ่ เป็นโรคติดต่อ เพื่อนเลยรังเกียจ เพื่อนกลัว เลยกลับมานั่งที่เตียงตัวเองเหมือนเดิม แล้วก็รอว่าเช้าวันรุ่งขึ้น คงไม่ตื่นขึ้นมาอีก

“เราเลยทำกิจกรรมที่ว่ามะเร็งไม่กินใจ ต่อให้มะเร็งจะกัดกินส่วนไหนของร่างกาย แต่อย่ากัดกินใจของคนที่นี่ เราเลยเชิญคุณยายมาเล่าประสบการณ์ ยังจำได้ ว่าหลายคนที่นั่งฟัง ร้องไห้ เพราะเข้าใจเพื่อนของเราผิด เพราะตอนทำแผลในพื้นที่ที่ไม่เป็นส่วนตัว มีเพื่อนเห็นแผลแล้วเข้าใจผิดว่าต้องเป็นโรคติดต่อแน่เลย เราก็เลยมาคิดว่าเราควรมีห้องลักษณะที่มีความเป็นส่วนตัวให้ผุ้สูงอายุด้วย ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ ความเป็นส่วนตัว และการเปิดโอกาสได้พูดคุย ให้ได้เข้าใจครอบครัวและตัวเองมากขึ้น คุณยายก็ระบุในสมุดเบาใจว่าอยากได้ห้องที่เป็นส่วนตัว เพราะเวลาทำแผลจะได้มีห้องที่เพื่อนไม่เห็น เพราะคุณยายกลัวว่าความเหงาจะกลับมาอีก ถ้าเพื่อนไม่เข้าใจ”

ด้านการบริหารจัดการ ผอ.อร อธิบายว่าที่นี่ค่อนข้างพร้อมด้านอาคารสถานที่ แม้จะเก่าสักนิด แต่เป็นสัดส่วน เช่น อาคารเรือนพยาบาล จะมีโซนห้องตรวจโรคของแพทย์ มีตู้ยาของผู้สูงอายุแต่ละท่าน มีห้องปฏิบัติการพยาบาล มีห้องสุขปลายทาง มีห้องพักแยกชายหญิง ซึ่งในห้องรวมจะรับผู้ป่วยทั้งแบบประคับประคองและผู้ป่วยที่มาพักฟื้น ประมาณสิบเตียง และด้านนอกที่เป็นโถงของผู้ชายประมาณสองเตียง และห้องสุขปลายทางหนึ่งเตียง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอาคารพักสำหรับผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มที่เข้าสู่วาระสุดท้ายก็เป็นกลุ่มวัยชราได้เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมินให้ว่าเคสนี้จำเป็นต้องเข้าอาคารลักษณะไหน ในตอนที่ผู้สูงอายุยังพูดคุยและสื่อสารได้ จะทำการถามความต้องการก่อนเลยว่าต้องการห้องลักษณะไหน เพราะเป็นการเคารพสิทธิ รวมถึงการวางแผนการดูแลล่วงหน้า

“จริง ๆ ไม่ควรตายตัวกับรูปแบบ บางท่านอยากให้เปิดเพลงสุรพล คุณยายบอกว่ามุมหน้าต่างมีกระถางเล็ก ๆ ให้ยายได้ดูดอกไม้ หรือแต่ละวันอยากให้มีใครมานั่งอ่านหนังสือธรรมมะให้ฟัง สักสิบนาทีก็ยังดี มันเป็นมุมที่ควรตอบเรื่องความต้องการของเขา ไม่ควรมีอะไรตายตัว เมื่อก่อนตอนที่จะทำห้องนี้ เคยคิดว่าจะต้องมีพระพุทธรูปไหม มีหนังสือธรรมะหรือเปล่า หรือต้องมีกลิ่นสปาแบบหอม ๆ แต่ผู้ป่วยเขาอาจไม่ต้องการ ทั้งหมดทั้งมวลคือการออกแบบให้มันเป็นทางเลือกที่ผู้ป่วยได้เลือก มันมีลูกเล่นได้เยอะ เพราะที่นี่เป็นเหมือนบ้าน อยู่ที่เราออกแบบว่าต้องการให้เป็นแบบไหน” ผอ.กล่าว ก่อนจะเน้นย้ำหลักการสำคัญที่นำมาใช้ในการออกแบบและบริหารจัดการสถานที่ว่า

“ในการทำงาน พี่มองว่าห้อง dying room พี่เจอคำสามคำ คือ สง่าสาม สงบ และสมปรารถนา สง่างาม คือ จัดบริการที่เคารพสิทธิและความเป็นมนุษย์ของท่าน ท่านเลือกออกแบบ ดูสถานที่ที่ตัวเองประสงค์ ให้ท่านตัดสินใจด้วยตัวเอง สงบ คือ บรรยากาศที่เราจัดให้ ไม่ว่าจะเป็นอาคารเฉพาะ หรืออาคารพักเดิมของท่าน เราต้องจัดให้มีความสงบสุขและความเป็นส่วนตัว สุดท้าย สมปรารถนา ทุกสิ่งทุกอย่างทีท่านระบุไว้ให้เราทำ เราทำตามเจตนารมณ์ของท่าน”

ส่งท้าย : ต้องเพิ่มปริมาณ Dying Room เพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้น

ในช่วงของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิทยากรแต่ละท่านได้นำเสนอผลลัพธ์สำคัญของการมีห้องหรือพื้นที่เพื่อดูแลผู้ป่วยในช่วงเวลาท้าย ๆ ของชีวิต ทั้งในแง่ของคุณภาพการดูแลผู้ป่วยและครอบครัว เช่น การไม่ทำหัตถการที่ไม่จำเป็นให้ผู้ป่วยต้องทุกข์ทรมาน การส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ใช้เวลาสุดท้ายอย่างมีคุณภาพทั้งต่อตัวเองและครอบครัว ซึ่งเป็นการช่วยเสริมความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อลดความเศร้าโศกหลังการสูญเสีย ส่วนในแง่ของระบบบริการ พบว่าช่วยทำให้การหมุนเวียนเตียงในแผนกต่าง ๆ ดีขึ้น ดังข้อสังเกตของ นพ.วัชรพงษ์ ที่ว่า “เคสที่เขาไปต่อไม่ได้ เราก็เป็นทางลงให้แพทย์เจ้าของไข้ ผู้ป่วย ญาติ และระบบสุขภาพ ผมเก็บตัวเลขคร่าว ๆ เราช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเคส จุดสำคัญคือเราเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติ อยู่ร่วมกันในระยะสุดท้าย ซึ่งจะช่วยเรื่องการเยียวยาความสูญเสีย ถ้าเขาได้ทำอย่างสุดความสามารถ”

อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้เกิดข้อเสนอที่ใกล้เคียงกันจากวิทยากร นั่นคือ ในเชิงคุณภาพ ห้อง Dying Room ได้พิสูจน์แล้วว่าแต่ละแห่งสามารถออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่จะต้องพัฒนาต่อไปคือการเพิ่มปริมาณห้องหรือพื้นที่รองรับผู้ป่วยให้เพียงพอ โดย นพ.วัชรพงษ์ ได้เสนอทิ้งท้ายว่าในในโรงพยาบาลขนาด 100 เตียง ควรมีเตียงหรือห้องสำหรับดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองอย่างน้อย 1 เตียง ซึ่งเป็นการประเมินเบื้องต้นจากสถานการณ์สุขภาพในปัจจุบัน