การส่งเสริมการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า สำหรับผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว
ผู้เขียน: ศศิธร มารัตน์ ชุมชนกรุณานครสวรรค์
บทคัดย่อ
การวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า (advance care planning: ACP) เป็นกระบวนการสื่อสารระหว่างบุคคลกับครอบครัวและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อแสดงเจตจำนงค์ของบุคคลต่อการดูแลในช่วงระยะท้ายของชีวิต และช่วยลดความกังวลในการตัดสินใจหรือลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นภายในครอบครัวและทีมสุขภาพ อย่างไรก็ตาม การพูดถึงการเตรียมความตายในสังคมไทยส่วนใหญ่ยังมองเป็นเรื่องอัปมงคลที่ไม่ควรพูดถึง การศึกษานี้ได้นำชุดเครื่องมือของ Peaceful Death สำหรับส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้เรื่องการเตรียมตัวตายและการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าในกลุ่มผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชรา บ้านเขาบ่อแก้ว จำนวน 26 คน ที่ได้คัดเลือกแบบเจาะจง โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ที่ประกอบด้วยกระบวนการวางแผน การปฏิบัติ การประเมิน และการสะท้อน รวมถึงแนวคิดแนวคิดชุมชนกรุณา
ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชราเข้าร่วมจำนวน 26 คน เพศชาย 16 คน (ร้อยละ 61.5) เพศหญิง 10 คน (ร้อยละ38.5) ผู้สูงอายุจำนวน 15 คน (ร้อยละ 57.7) ได้เขียนบันทึกการวางแผนการดูแลล่วงหน้าสำเร็จ และจำนวน 11 คน (ร้อยละ 42.3) ต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม นอกจากนี้ ผลการปฏิบัติการใช้ชุดเครื่องมือ Peaceful Death สำหรับส่งเสริมการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า ค้นพบว่า ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน ได้แก่ (1) ทัศนคติเชิงบวกต่อการพูดคุยเรื่องการเตรียมตัวตาย (2) ความรู้ความเข้าใจถึงสิทธิการตายดีเพิ่มขึ้น และ (3) ความตระหนักถึงความเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง (ownership) การศึกษานี้ได้เพิ่มช่องทางการเข้าถึงการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมตามโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและสอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน
หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โครงสร้างประชากรของประเทศไทยเริ่มเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงวัย” (aged society) ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี 2564 ประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปสูงถึง ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานการคาดการณ์ประชากรของประเทศไทยระหว่างปี 2553-2583 สถานการณ์ผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการดูแลและการบริการสุขภาพผู้สูงอายุที่มีความต้องการในการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องการบริการทางการแพทย์และการดูแลระยะยาวมากขึ้น รัฐบาลต้องปรับนโยบายให้เหมาะสมกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง
การวางแผนการดูแลผู้สูงอายุจึงเป็นนโยบายระดับประเทศเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุ รวมถึงการวางแผนการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มไร้ที่พึง รัฐจัดบริการการให้ผู้สูงอายุเข้าถึงการดูแลด้วยการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ทำให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จำเป็นต้องถ่ายโอนภารกิจด้านการดูแลผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชราให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนทั้งสิ้น 13 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ สถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว จ.นครสวรรค์ จากการศึกษาแนวทางพัฒนาสถานสงเคราะห์คนชราในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อรองรับสังคมสูงอายุของประเทศไทย (ทิพย์วารี พาณิชย์กุล, 2563) พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า กว่า 20 ปีที่มีการถ่ายโอนภารกิจสถานสงเคราะห์คนชราไปยังองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น และการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการสถานสงเคราะห์คนชราและการดำเนินงานด้านการจัดบริการผู้สูงอายุอยู่ในระดับควรปรับปรุงและเพิ่มศักยภาพการจัดกระบวนการดูแลผู้สูงอายุทุกมิติ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการอยู่ดีและตายดีของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชรา การวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญในการแสดงเจตจำนงและความต้องการของผู้สูงอายุ รวมถึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับใช้สื่อสารและการสร้างความเข้าใจการเตรียมความพร้อมการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะท้ายในสถานสงเคราะห์คนชรา
สถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว ภายใต้การบริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์มีการให้ บริการสงเคราะห์ด้านที่พักอาศัยแก่ผู้สูงอายุสัญชาติไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และประสบปัญหาความเดือดร้อนเช่น มีฐานะยากจน ไม่มีที่อยู่อาศัย และขาดผู้ดูแล ใน 9 จังหวัด (อุทัยธานี นครสวรรค์ สุโขทัย ตาก พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ และกำแพงเพชร) ปัจจุบันมีผู้สูงอายุ 97 คน เป็นชาย 40 คน หญิง 57 คน แบ่งเป็นกลุ่มติดสังคม 26 คน ติดบ้าน 60 คน และติดเตียง 11 คน มีการบริการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จิตใจ และสังคม ตลอดจนการรักษาพยาบาลแก่ผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย รวมถึงจัดบริการด้านอาชีวะบำบัดและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามเหมาะสม เมื่อผู้สูงอายุไร้ญาติถึงแก่กรรม (สถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว, 2566) จากการศึกษาของสถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้วที่ผ่านมา พบว่าการดำเนินการด้านการวางแผนดูแลสุขภาพล่วงหน้าให้กับผู้สูงอายุยังมีข้อจำกัดเพราะมีเพียงการสื่อสารด้วยวาจา เมื่อมีคนเสียชีวิตจะดำเนินตามระเบียบของสถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว หรือดำเนินการตามความต้องการของผู้สูงอายุบ้างเป็นบางราย
งานผู้สูงอายุและการส่งเสริมสุขภาพชุมชน ภายใต้ศูนย์การแพทย์มหิดลบำรุงรักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ ได้ทบทวนและเห็นถึงความสำคัญเรื่อง “การเตรียมความพร้อมก่อนตาย” ซึ่งเกี่ยวกับการแสดงเจตจำนงและความต้องการของผู้สูงอายุในการวางแผนดูแลสุขภาพล่วงหน้าก่อนที่ผู้สูงอายุจะหมดความสามารถในการตัดสินใจ หรือเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต บทความนี้เสนอผลการส่งเสริมการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าให้ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว ผ่านการเขียนบันทึก “สมุดเบาใจ” เพื่อพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อเรื่องความตายดี เข้าใจถึงสิทธิการตายดี และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการสื่อสารเจตนารมณ์การดูแลสุขภาพระยะท้ายของผู้สูงอายุคนชราให้สถานสงเคราะห์คนชรา บ้านเขาบ่อแก้ว รวมถึงการขยายผลสถานสงเคราะห์อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
วิธีดำเนินการวิจัย
การศึกษาครั้งนี้เป็นกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Kemmis & McTaggart, 1990) ที่ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผน (planning) 2) การปฏิบัติ (acting) 3) การสังเกต (observing) และ 4) การสะท้อน(reflecting) โดยกลุ่มตัวอย่างของการศึกษาได้แก่ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชรานิคมบ้านเขาบ่อแก้ว จำนวน 26 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (เงื่อนไข เช่น สื่อสารได้ เคลื่อนไหวได้ ยินดีให้ข้อมูล)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ผู้วิจัยพัฒนาโปรแกรมกิจกรรม ประกอบด้วย การฝึกทักษะการพูดคุยผ่านเครื่องมือการเรียนรู้ของ Peaceful Death เช่น เกมไพ่ไขชีวิต การ์ดแชร์กัน และการเขียนสมุดเบาใจสำหรับบันทึกการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า ในขณะดำเนินกิจกรรมผู้วิจัยมีการสัมภาษณ์ ตัวอย่าง คำถามที่ใช้สัมภาษณ์ “หากวันหนึ่งเรามีภาวะฉุกเฉินจะให้ใครเป็นคนแจ้งข้อมูลกับบุคลากรทางการแพทย์แทนเรา” การสังเกตการแบบมีส่วนร่วม มีการสะท้อนผ่านการถอดบทเรียนและการสนทนากลุ่ม ตัวอย่างคำถามที่ใช้สนทนากลุ่ม “บุคลากรทางการแพทย์จะทราบข้อมูลที่เราบันทึกได้อย่างไร”

การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บข้อมูลใช้แบบสัมภาษณ์เพื่อสำรวจทัศนคติ ความรู้ และความตระหนักรู้ในตัวเองจากกลุ่มตัวอย่าง 26 คน รวมถึงใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วมด้านปฏิกิริยาต่อกิจกรรมภายในกลุ่ม และการสนทนากลุ่มเพื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเขียนสมุดเบาใจและการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าของตนเอง
การวิเคราะห์ข้อมูล
ข้อมูลประชากรใช้วิเคราะห์เชิงปริมาณด้วยสถิติร้อยละ สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม และการสังเกตการแบบมีส่วนร่วม ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วจัดกลุ่มประเด็นความคิด
ผลการวิจัย
ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชราที่เข้าร่วมโครงการ มีจำนวน 26 คน เป็นเพศชายร้อยละ 61.5 (16 คน) เพศหญิงร้อยละ 38.5 (10 คน) จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีผู้สูงอายุร้อยละ 57.7 (15 คน) เขียนสมุดเบาใจสำหรับการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้าสำเร็จ และมีร้อยละ 42.3 (11 คน) ที่ต้องการเวลาไปศึกษาเพิ่มเติม นอกจากนี้ ผู้สูงอายุทุกคนสะท้อนถึงรู้สึกว่าได้คลี่คลายความกังวลใจเกี่ยวกับการจัดการชีวิตตนเองในระยะท้าย 3 ด้าน ดังนี้
(1) ด้านทัศนคติที่ดีต่อเรื่องความตาย ผู้สูงอายุมีทัศนคติเชิงบวก จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ เช่น “มันเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องพูดกัน” หรือ “ ไม่โกรธเลยที่จะคุยเรื่องนี้ เพราะทุกคนก็ต้องตาย”
(2) ด้านความรู้ ความเข้าใจ เรื่องสิทธิในการตายดี จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์บางท่านไม่มีการรับรู้เรื่องสิทธิ ซึ่งสะท้านผ่านคำพูด เช่น “เรามาอยู่ที่นี่ ก็แล้วแต่เจ้าหน้าที่จะจัดการให้เลย”
อย่างไรก็ตาม กิจกรรมการเขียนสมุดเบาใจช่วยให้ผู้สูงอายุตระหนักถึงสิทธิ และเห็นว่าทุกคนสามารถวางแผนการรักษาระยะท้ายได้ ดังข้อสะท้อนของผู้สูงอายุว่า “ดีเลยที่มีแบบนี้ สมุดเล่มนี้เราเขียนแล้ว เอาไปไว้ห้องพยาบาล ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินก็ให้เอาสมุดนี้ไปโรงพยาบาลพร้อมกับเราเลย”
(3) ความตระหนักรู้ในตนเองที่เกิดขึ้นการเขียนบันทึกการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า พบว่าผู้สูงอายุเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับความต้องการของตนเอง จากตัวอย่างคำบอกเล่าของผู้สูงอายุเช่น “สมุดเล่มนี้ดีมากเลย เราสามารถบอกความต้องการของเราได้” หรือ “ควรมีการเขียนแบบนี้ทุกคนในสถานสงเคราะห์” และ “ทุกคนได้เตรียมตัวตาย ก่อนตาย” นอกจากนี้ ผู้สูงอายุมีมติร่วมกันว่า สมุดเบาใจ ควรนำไปไว้ที่เรือนพยาบาลเพื่อรวบรวมไว้เป็นฐานข้อมูลสุขภาพ และควรส่งเสริมให้มีการเขียนสมุดเบาใจกับทุกคนในสถานสงเคราะห์คนชรา

การอภิปรายผลการวิจัย
จากข้อค้นพบผู้เขียนอภิปรายใน 3 ประเด็น ได้แก่ (1) ด้านทัศนคติที่ดีต่อเรื่องความตาย (2) ด้านความรู้ ความเข้าใจ เรื่องสิทธิในการตายดี และ (3) การเขียนบันทึกการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้าช่วยให้ผู้สูงอายุเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญของการเขียนสมุดเบาใจ ตามลำดับดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ด้านทัศนคติที่ดีต่อเรื่องความตาย พบว่าผู้สูงอายุมีทัศนคติเชิงบวก สอดคล้องกับการศึกษาของ (ดนัยชัยนันท์ สังขทรัพย์, 2565) ซึ่งศึกษาทัศนะคติต่อความตายของผู้สูงอายุที่มารับบริการในคลินิกเสริมความงาม ในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า ทัศนคติที่มีต่อการเตรียมตัวตายเชิงพุทธ ผู้สูงอายุมีการเตรียมตัวก่อนตายโดยการยอมรับปรากฏการณ์ของชีวิตเกี่ยวกับการตั้งอยู่ ดับไปตามหลักศาสนาพุทธ และยอมรับสัมพันธภาพของสิ่งต่าง ๆ ในโลกที่เกิดขึ้น แต่การวิจัยนี้พบข้อแตกต่างว่า การยอมรับการตายมาจากประสบการณ์เรียนรู้ของผู้สูงอายุในกระบวนการเล่นเกมไพ่ไขชีวิต เช่น ชุดคำถามจากไพ่ “คุณเริ่มตระหนักได้ว่าท้ายที่สุดคุณต้องตาย ขณะที่คุณมีอายุเท่าไหร่” ชวนให้ผู้สูงอายุได้ทบทวนชีวิตตนเองและพัฒนาทัศนคติการยอมรับต่อความตายจากประสบการณ์ตรง
ประเด็นที่สอง ด้านความรู้ ความเข้าใจ เรื่องสิทธิในการตายดี การใช้ชีวิตในสถานสงเคราะห์คนชรา ผู้สูงอายุต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเอง ที่อาจอยู่ภายใต้ข้อจํากัดและกฎระเบียบต่างๆ ทําให้ผู้สูงอายุขาดอิสรภาพ สูญเสียบทบาทของตนเอง ซึ่งส่งผลต่อการดําเนินชีวิตในช่วงบั้นปลาย (สุจิตรา สมพงษ์ และนงนุช โรจนเลิศ, 2557) ดังนั้นการให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิจึงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิทธิเกี่ยวกับการวางแผนดูแลสุขภาพระยะท้ายซึ่งเป็นนโยบายสาธารณสุขตาม พรบ.มาตรา12 สอดคล้องกับการศึกษาของ พิสิษฐ์ พิริยาพรรณ และคณะ (2558) ที่เสนอว่าด้านสิทธิและประโยชน์ของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุควรได้รับความรู้เกี่ยวกับสิทธิของตนเองและการดูแลตนเอง มีสิทธิได้รับการนัดหมาย เพื่อพบทีมพยาบาลหรือแพทย์สำหรับการวางแผนการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน และการวางแผนการดูแลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน นอกจากนี้ การวิจัยพบว่า การให้ความรู้ผ่านกระบวนการ เช่น เกมไพ่ไขชีวิต แล้วตามด้วยการเขียนสมุดเบาใจช่วยสร้างความเข้าใจได้ง่ายกว่าการบรรยาย
ประเด็นที่สาม การเขียนบันทึกการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า ผู้สูงอายุเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญของการบันทึก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักถึงความเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง (ownership) ว่าตนเองสามารถบอกความต้องการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพชีวิตในช่วงระยะท้ายได้ สอดคล้องกับการศึกษาของ ปานจันทร์ ฐาปนกุลศักดิ์ (2563) ที่ศึกษาการวางแผนการดูแลรักษาล่วงหน้าในผู้สูงอายุ โดยพบว่า การสร้างการเห็นคุณค่าและความสำคัญของการวางแผนสุขภาพล่วงเกี่ยวข้องกับการสร้างความมั่นใจ และการเตรียมส่งเสริม สำหรับงานวิจัยนี้มีข้อค้นพบเพิ่มเติมได้แก่ กระบวนการสร้างความสัมพันธ์และการพัฒนาความไว้วางใจระหว่างผู้สูงอายุกับผู้นำการเขียนบันทึกการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อการเขียนสมุดเบาใจให้สำเร็จ
สรุปแลข้อเสนอแนะ
การวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้าเป็นกระบวนการสื่อสารระหว่างบุคคลกับครอบครัวและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อแสดงเจตจำนงของบุคคลต่อการดูแลในช่วงระยะท้ายของชีวิต และช่วยลดความกังวลในการตัดสินใจหรือลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นภายในครอบครัวและทีมสุขภาพ จากการศึกษาในกลุ่มผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชรามี ร้อยละ 57.7 ที่ได้เขียนบันทึกการวางแผนการดูแลล่วงหน้าสำเร็จ นอกจากนี้ ผลการปฏิบัติการใช้ชุดเครื่องมือ Peaceful Death สำหรับส่งเสริมการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า ค้นพบว่า ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน ได้แก่ (1) ทัศนคติเชิงบวกต่อการพูดคุยเรื่องการเตรียมตัวตาย (2) ความรู้ความเข้าใจถึงสิทธิการตายดีเพิ่มขึ้น และ (3) ความตระหนักถึงความเป็นเจ้าของชีวิตหรือการเห็นคุณค่าตัวเองผ่านกระบวนการเขียนการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า
จากผลการศึกษาครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารเรื่องความตาย เพราะเป็นเรื่องบอบบาง ยากที่จะสื่อสารกันได้โดยทั่วไป ปัจจัยแห่งความสำเร็จของโครงการนี้คือการสร้างสัมพันธภาพและความไว้วางใจระหว่างผู้ดำเนินโครงการกับกลุ่มผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชรา ทำให้ผู้สูงอายุกล้าเปิดใจและยอมรับการพูดคุย ซึ่งเป็นความท้าทายของพยาบาลในการนำพาผู้สูงอายุได้รับรู้ตามสิทธิการตายดี ว่าการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้ามีความสำคัญอย่างไร บทบาทพยาบาลคือการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องการตายดี และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า และขับเคลื่อนให้เหมาะสมกับบริบท ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุในชุมชนหรือผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชรา เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในช่วงระยะท้ายของชีวิตให้สามารถแสดงเจตจำนงของตนเองในขณะที่ยังสามารถสื่อสารความต้องการได้ นอกจากนี้ จากการศึกษามีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมคือ การส่งเสริมการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสถานสงเคราะห์คนชราควรมีแผนการดำเนินการหลายครั้ง เนื่องจากผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยเรื่องความตายจำเป็นต้องมีเวลาทบทวนและเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ จากผลการวิจัยที่พบว่ามีผู้สูงอายุร้อยละ 57.7 เท่านั้นที่ยินดีเขียนสมุดเบาใจ กล่าวคือการส่งเสริมการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าสำหรับผู้สูงอายุทุกคนเป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยให้เข้าถึงการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในช่วงระยะท้ายอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียมตานโยบายของกระทรวงสาธารณสุข และสอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน
อ้างอิง
สุจิตรา สมพงษ์และนงนุช โรจนเลิศ, (2557). ความสุขของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์คนชรา ในจังหวัดนครปฐม.
วารสารพยาบาลตำรวจ, 6(1), 204-218
พิสิษฐ์ พิริยาพรรณและคณะ, (2558). การพัฒนามาตรฐานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในศูนย์การให้บริการแบบพักค้าง.
บูรพาเวชสาร, 2(1), 46-49
ทิพย์วารี พาณิชย์กุล, (2562). แนวทางพัฒนาสถานสงเคราะห์คนชราในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามาตรฐาน
การสงเคราะห์ผู้สูงอายุของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย
สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปานจันทร์ ฐาปนกุลศักดิ์, (2563). การวางแผนการดูแลรักษาล่วงหน้า: ประเด็นสำคัญในการดูแลแบบประคับประคอง
ในผู้สูงอายุ. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ, 43(3), 12-21
ดนัยชัยนันท์ สังขทรัพย์, (2565). ทัศนะคติที่มีต่อความตายของผู้สูงอายุที่มารับบริการในคลินิกเสริมความงามในเขต
กรุงเทพมหานคร. วารสารพุทธจิตวิทยา, 7(1), 46-53
บุศรา เชื้อดี, (2565). การพัฒนาแนวทางการบริหารคุณภาพศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของจังหวัด
นครสวรรค์. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ, 6(3), 376-390
กฤษณาพร ทิพย์กาญจนเรขาและคณะ, (2566). การวางแผนดูแลรักษาตนเองล่วงหน้าเพื่อการตายดี. วารสารวิทยาลัย
พยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ, 33(3), 138-144
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2566), รายงานสถานการณ์ทางสังคมประจำปี2565. กระทรวง
การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. https://www.m-society.go.th/more_news.php?cid=535