โดย โดย ดิเรก ชัยชนะ
วันที่เผยแพร่ 19 กรกฎาคม 2567
- Voice of the Voiceless ทำเสียงที่ไม่เคยได้ยินให้มีความหมายด้วย “ชุมชนกรุณา” ไม่ใช่เพียงแค่เป็นนิทรรศการภาพถ่าย แต่คืองานศิลปะที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ของการมองเห็นผู้อื่น การเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ดูดายต่อความทุกข์ของผู้อื่น และพร้อมช่วยเหลือด้วยหัวใจกรุณา
- ผู้ดูแล คือบทบาทหนึ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้ในกระบวนการเยียวยา ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคม อาจเป็นใครสักคนที่อยู่รอบตัวเรา แต่เป็นบทบาทที่ถูกเก็บเงียบหรือกดทับ Voice of the Voiceless เป็นความตั้งใจในการส่งเสียงและเปิดเผยบางแง่มุมของผู้ดูแลสู่สาธารณะ
- ชุมชนกรุณากาฬสินธุ์ เป็นเครือข่ายจิตอาสาและการมีส่วนร่วมจากชุมชน และเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ โดยได้ดำเนินการ 4 ด้าน ได้แก่ สวัสดิการกรุณา สาธารณสุขกรุณา ศึกษากรุณา และประชากรุณา
- ภายในงานมีภาพถ่ายพอร์ตเทรต (portrait) และสเตรทโฟโตกราฟฟี่ (stright photography) ของศิลปินช่างภาพคุณธำรงรัตน์ บุญประยูร และคุณสุวรรณ วนวัฒนวงศ์ และสมาชิกชมรมคนถ่ายภาพกาฬสินธุ์และนักเขียน 15 คน และจัดแสดงวันนี่ถึง 31 สิงหาคม 2567
ความกรุณา เป็นความปรารถนาที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ แต่หากปรารถนาให้ทุกคนในสังคมพ้นจากความทุกข์ ความกรุณานั้นย่อมเกี่ยวข้องกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากหลากหลายผู้คนและหน่วยต่างๆ ในชุมชน ร่วมรับฟัง แบ่งปัน ช่วยเหลือ ดูแล และแปรเปลี่ยนสังคมที่สนับสนุนให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ชุมชนกรุณากาฬสินธุ์ ได้แสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ว่า วงล้อมแห่งการดูแลที่โอบรับและสนับสนุนการดูแลเพื่อนร่วมสังคมเดียวกันโดยไม่แบ่งแยกและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริงนั่นเป็นเช่นไร นี่คือความคิดแรกที่เกิดขึ้นหลังจากได้ชมนิทรรศการ Voice of the Voiceless ทำเสียงที่ไม่เคยได้ยินให้มีความหมายด้วยชุมชนกรุณา ณ พิพิธภัณฑ์ของดีเมืองกาฬสินธุ์
นิทรรศการได้จัดแสดงภาพถ่ายบุคคลและภาพถ่ายแนวสเตรทโฟโตกราฟฟี่ที่บันทึกภาพและนำเสนออย่างตรงไปตรงมา เพื่อนำมาจัดแสดงร่วมกับบันทึกเรื่องราวบทบาทของผู้ดูแล และศิลปะจัดวางที่แสดงเส้นทางชีวิตจากวัยเด็ก วัยเรียน วัยทำงาน วัยผู้สูงอายุ จนถึงเชิงตะกอน นิทรรศการนี้ได้ร้อยเรียงองค์ประกอบเข้าด้วยกันและข้ามเส้นการแสดงนิทรรศการภาพถ่ายทั่วไปสู่งานศิลปะที่สัมพันธ์กับชีวิตผู้คนในชุมชน และนโยบายท้องถิ่น จากการคุยกับผู้ชมหลังดูนิทรรศการบ้างก็รู้สึกน้ำตาซึม บ้างก็รู้สึกซาบซึ่งใจในหัวใจกรุณาของผู้ดูแล บ้างก็สะท้อนถึงภาพถ่ายขาวดำว่าเป็นภาพงานศพ บ้างนึกถึงภาพจำเก่าที่ตนเองดูแลคุณยาย บ้างภาคภูมิใจที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของผู้ดูแล และบ้างก็ตั้งคำถามกับตนเองว่าพร้อมหรือยังสำหรับการเตรียมตัวตายอย่างสมศักดิ์ศรี กล่าวได้ว่า รายละเอียดและวัตถุรูปธรรมที่ช่างภาพเลือกถ่ายทอดได้สะท้อนความจริงของสถานการณ์ ณ ขณะนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ชี้ชวนผู้ชมหาคำตอบอะไร แต่ได้นำผู้ชมใคร่ครวญผ่านประสบการณ์สุนทรียภาพของการรับรู้และอารมณ์ความรู้สึกอย่างเงียบๆก่อนจะเกิดคำถามสำคัญในใจตนเองว่าเราเตรียมตัวพร้อมหรือยังสำหรับช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต (ที่ไม่รู้แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่) หรือสังคมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของการอยู่ดีตายดีควรเป็นเช่นไร เราจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลได้อย่างไร

ความกรุณาไม่มีเงื่อนไข เป็นบ่อเกิดของชุมชนกรุณา
ชุมชนกรุณาเป็นแนวคิดปฏิบัติการทางสังคมในการพัฒนาหน่วยต่างๆ ของชุมชนให้มีศักยภาพพร้อมรับมือกับการสูญเสีย การตาย การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว การขับเคลื่อนความคิดนี้ “ผู้ดูแล” ไม่ว่าจะเป็นแม่ที่เป็นผู้ดูแลหลักในครอบครัว ลูกที่หาเลี้ยงพ่อแม่ เพื่อนบ้านที่คอยส่งข้าวส่งน้ำ อสม. Caregiver (Cg) บุคลากรด้านสุขภาพ เทศบาล จิตอาสา ฯลฯ ต่างมีบทบาทสำคัญและขาดไม่ได้ในกระบวนการดูแลเยียวยาทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคม บทบาทเหล่านี้มาจากความกรุณาที่ไร้เงื่อนไขของผู้ดูแล ทว่าเสียงพวกเขาเหล่านี้มักถูกเก็บเงียบหรือกดทับอยู่ในครอบครัวหรือชุมชน เรื่องราวและภาพถ่ายของนิทรรศการนี้จึงเป็นการสื่อสารเสียงของผู้ดูแลผ่านช่างภาพและนักเขียน ที่ตั้งใจอยากเปิดเผยบางแง่มุมของผู้ดูแล เพื่อให้เกียรติ ยกย่อง และชื่นชมหัวใจกรุณาของผู้ปิดทองหลังพระ ดังตัวอย่างภาพถ่ายของยายแตงและยายล้อม ซึ่งเป็นภาพเพื่อนดูแลเพื่อน ถึงแม้ว่าช่วงแรกที่ดูแลกันเองมีข้อจำกัดหลายอย่าง จนถึงกระทั้งเริ่มปฏิเสธการรักษาและรอความตาย แต่เมื่อ อสม. ในชุมชนเข้ามาเยี่ยมบ้านและรับรู้เรื่องราวจึงเข้าไปช่วยเหลือ ติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง พาไปหาหมอ พาไปทำบัตรประชาชนเพื่อได้รับสวัสดิการตามสิทธิ ความกรุณาเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติเป็นเหมือนตาน้ำที่หล่อเลี้ยงทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล “จากแต่ก่อนคิดว่า จะรอตายซื่อๆ ซูมื้อนี่กะมีความหวัง อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป” ยายล้อมยิ้มพร้อมเช็ดน้ำตา ขณะที่ พี่อิ๋ว อสม.ชุมชนเกษตรสมบูรณ์ หนึ่งในกลุ่มผู้ดูแลได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ทำแล้วภูมิใจ ทำแล้วมีความสุข” และความกรุณาอันไร้เงื่อนไขนี้พี่อิ๋วเรียกว่า “ความรัก” เป็นตาน้ำที่หล่อเลี้ยงจิตใจของคนทำงานจิตอาสาและผู้ป่วยก่อนจะรวมเป็นสายน้ำของความรักความปรารถนาดีที่ไหลรวมเข้าด้วยกันเป็นชุมชนกรุณากาฬสินธุ์

เส้นด้ายแห่งประสบการณ์
ใครบ้างที่ไม่มีประสบการณ์สุข-ทุกข์ มีหวัง-ผิดหวัง มีลาภ-เสียลาภ แต่ละคนต่างมีเหมือนกันแม้จะต่างรูปแบบกัน เป็นจุดหักเหของชีวิต เส้นด้ายของประสบการณ์ชวนผู้ชมทบทวนชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ตายายเสียชีวิต เพื่อนแกล้ง ครูตี หนีโรงเรียน สอบได้ที่หนึ่ง รถล้ม ติดเตียง ติดยา ได้ทุน ป่วย ซึมเศร้า มีแฟน แยกทาง ถูกหวย เป็นโรคร้าย แมวหาย ฯลฯ กิจกรรมส่วนนี้สนุกและประทับใจกับวิธีสื่อสารของผู้จัดนิทรรศการ ก่อนที่จะนำผู้ชมไปสู่คำถามชวนให้ตื่นใจผ่านเรื่องราว ของ “พี่หมู” ผู้ดูแลหลักที่ดูแลแม่วัย 80 ปี แต่ต่อมาพี่หมูป่วยด้วยอาการสโตรค เมื่อผู้ดูแลหลักล้มครอบครัวจะทำอย่างไร

แม้ประสบการณ์ชีวิตมีขึ้นๆลงๆเป็นความจริง แต่ในกรณีบ้านที่มีผู้ป่วยสองคนที่ต้องการดูแล ความจริงนี้ก็เหมือนดิ่งลงพื้น แล้วใครจะคอยรับล่ะ? กรณีพี่หมูเพื่อนบ้านพากันช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล และเมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อนบ้าน อสม. Cg และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่างคอยดูแลช่วยเหลือ ส่งข้าวส่งน้ำ ด้วยหัวใจกรุณาของชุมชนที่ไม่ทอดทิ้งกันจนกว่าพี่หมูค่อยๆฟื้นตัวช่วยเหลือตัวเองได้ ในวันนี้พี่หมูและแม่ยิ้มได้ และบอกเล่าเรื่องราวเพื่อนบ้านประคับประคองด้วยความขอบคุณว่า “ขอบคุณเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้รู้ว่า ชุมชนไม่ทอดทิ้งกันเป็นอย่างไร และชุมชนกรุณามีอยู่จริง”
ความตายอยู่แค่เอื้อม
เมื่อเดินผ่านเส้นทางชีวิตสู่วัยชราภาพก็จะเข้าสู่ช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต นิทรรศการส่วนนี้เป็นภาพถ่าย“Last Memories” ภาพสุดท้ายที่กลายเป็นภาพทรงจำกลางใจตลอดกาล และ “Last Photo” ภาพที่อยากใช้บอกลาทุกคนในงานสำคัญครั้งสุดท้าย ของศิลปินภาพถ่าย คุณธำรงรัตน์ บุญประยูร และคุณสุวรรณ วนวัฒนวงศ์ ภาพถ่ายสองชุดนี้บอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของเจ้าของภาพ ที่ชวนผู้ชมได้ใคร่ครวญถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต และความตายที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม รวมถึงข้อความจากเจ้าของภาพถ่าย Last Memories ที่ชวนให้อารมณ์ดีมีทัศนคติใหม่ต่อภาพงานศพที่เคยพบเห็น ด้วยว่าเราสามารถเตรียมตัวเผชิญความตายอย่างไรให้เรียกว่าอยู่ดีตายดี

วงล้อมแห่งการดูแล
ความเข้าใจต่อ “ชุมชนกรุณา” ของชุมชนกรุณากาฬสินธุ์คือการช่วยเหลือผู้อื่น สองโครงการแรกคือ เมรุกรุณา และจุติกรุณา เพื่อช่วยเหลือศพไร้ญาติ และการดูแลจิตใจผู้ป่วยระยะท้าย โดยคุณดารณี สุดาอิ้ง (จ๊ะเอ๋) หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมสาธารณสุข ของเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ขับเคลื่อนร่วมกับเครือข่ายจิตอาสาจนเห็นผลเชิงประจักษ์ จึงนำไปสู่การขับเคลื่อนเต็มกำลังภายใต้การสนับสนุนของนายกเทศบาล นายจารุวัฒน์ บุญเพิ่ม โดยเริ่มจากโครงการพัฒนาทักษะความรู้ให้ 41 ชุมชน ด้านการเขียนและจัดการโครงการ เพื่อร่วมดำเนินนโยบาย 4 ด้าน ได้แก่ สวัสดิการกรุณา สาธารณสุขกรุณา ศึกษากรุณา และประชากรุณา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพลเมืองกาฬสินธุ์ ดังนั้นวงล้อมแห่งการดูแลของชุมชนกรุณากาฬสินธุ์ได้บูรณาการอย่างสมบูรณ์ ที่ประกอบด้วยผู้ดูแลหลักในครอบครัว ผู้ดูแลวงนอกคือเพื่อนบ้าน ญาติ ผู้ดูแลในชุมชนคือ อสม. Cg. สมาชิกชุมชน ผู้ดูแลจากหน่วยบริการสุขภาพ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล สาธารณสุข และผู้ดูแลระดับนโยบายท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านสวัสดิการ สาธารณสุข การศึกษา หรือด้านประชากร สำหรับนิทรรศการครั้งนี้หอศิลป์ ศิลปิน ช่างภาพ และนักเขียนในท้องถิ่น ก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงล้อมแห่งการดูแลร่วมเป็นหุ้นส่วนการสร้างสรรค์และขับเคลื่อนสังคมไปภาพเดียวกันคือคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่ดีตายดีของประชาชนทุกคน

พลังแห่งรัก สร้างความสุข ส่งพลังชีวิต
หลังจากเดิมรอบผ่านวงล้อมแห่งการดูแล ในฐานะผู้ชมจะเห็นภาพการทำงานของผู้ดูแลที่ปฏิบัติงานด้วยจิตอาสาตามความสามารถและศักยภาพของแต่ละคน ถึงแม้ว่าบางครั้งเครือข่ายเจอเคสที่เผชิญความทุกข์หนักมากก็สามารถให้การโอบอุ้ม การดูแล การช่วยเหลือ และส่งพลังใจให้สมาชิกชุมชนที่ท้อแท้ผ่านพื้นช่วงเวลาวิกฤตไปได้ อย่างภาพชุดสุดท้ายกรณีแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ดูแลผู้ป่วยสองคน เมื่อฟังเจ้าหน้าที่หอศิลป์นำเล่าเรื่องราว เมื่อถึงเคสนี้เธอเล่าได้ช่วงหนึ่งก็น้ำตาไหล “ขอโทษ หนูรู้สึกประทับใจเคสนี้มาก” เธอกล่าวพร้อมยิ้มทั้งน้ำตาพริ่มๆ เช่นดียวกัน ตอนสัมภาษณ์กลุ่มช่างภาพและนักเขียน เคสนี้ทีมงานเป็นห่วงมากที่สุดเพราะด้วยอาการของผู้ป่วยที่อยู่นิ่งไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อลงทำงานจริงปรากฏว่าผ่อนคลายมากสามารถถ่ายภาพได้สำเร็จตามเป้าหมาย นอกจากนี้ คุณพัชรชล หนูนารถ (อลิซ) ผู้บันทึกเรื่องราวและเขียนสรุปเนื้อหาเคสนี้ได้สะท้อนความรู้สึกจากใจว่า “ด้วยโอกาสเท่านี้ เราได้เห็นเขา ได้คุยกับเขา ได้ยินเสียงเขาจริงๆ เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ส่งเสียงนั้นของเขาออกมา ถึงแม้ว่าในนิทรรศการนี้จะมีเพียงสามเคส แต่ก็มีกลุ่มคนอีกมากมายที่กำลังทำงานภายใต้ชุมชนกรุณาแบบนี้ การส่งต่อให้คนเห็นว่า เราดูแลกันอย่างไร กาฬสินธุ์ดูแลกันอย่างไร เราไม่ทอดทิ้งกันอย่างไร และนโยบายที่ว่าดูแลกันจากแรกเกิดจนถึงเชิงตะกอน มันสื่อสารในนิทรรศการนี้เป็นอย่างดี”

เชิญชวนทุกคนหากมีโอกาสแวะไปชมนิทรรศการ นิทรรศการ Voice of the Voiceless ทำเสียงที่ไม่เคยได้ยินให้มีความหมายด้วย “ชุมชนกรุณา” นิทรรศการที่ได้ส่งเสียงของผู้ดูแลให้ดังก้องทั้งภายนอกและภายในจิตใจ นิทรรศการที่ข้ามเส้นการแสดงภาพถ่ายสู่งานศิลปะเพื่อประชาชน งานศิลปะที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน งานศิลปะที่สร้างประสบการณ์เรียนรู้ผ่านอารมณ์ความรู้สึกที่จะมาปลุกเร้าหัวใจของผู้คนให้มองเห็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ และตาย ไม่ดูดายต่อความทุกข์ของผู้คน และพร้อมช่วยเหลือด้วยหัวใจ ชุมชนกรุณากาฬสินธุ์ เมืองเล็กเปลี่ยนโลก เมืองที่ขับเคลื่อนด้วยภาคีเครือข่ายฝ่ายปกครอง ชุมชน และกลุ่มจิตอาสาทั้งภายในและภายนอกพื้นที่ ไปสู่ “เมืองกรุณา” ที่อาจสร้างแรงกระเพื่อมให้หลายๆ ชุมชน อำเภอ หรือจังหวังทั่วประเทศไทย
ขอขอบคุณชุมชนกรุณาการฬสินธุ์ เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ หอศิลป์ ช่างภาพ และผู้ให้สัมภาษณ์ทุกท่าน