เจนจิรา โลชา, ชุมชนกรุณาเชียงราย
โดยพื้นฐานโรงเรียนผู้สูงอายุมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อ (1) ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการจัดการ เรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุ (2) ส่งเสริมการพัฒนาตนเอง การดูแล คุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุ (3) เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีของ ผู้สูงอายุทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และ (4) ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ ชุมชนและสังคม อย่างไรก็ตาม การดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องของโรงเรียนผู้สูงอายุในหลากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย พบว่า การดูแลสุขภาพกายและใจในประเด็นการวางแผนการดูแลล่วงหน้า (advance care planning: ACP) ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุมีทักษะความรู้และความตระหนักเกี่ยวกับการรับมือกับความเจ็บป่วยและความตายยังมีข้อจำกัด ชุมชนกรุณาเชียงรายมีบทบาทส่งเสริมการวางแผนดูแลล่วงหน้าและการดูแลแบบประคับประคองได้พัฒนา “หลักสูตรการเรียนรู้ธรรมชาติชีวิตและความตาย 3 ชั่วโมง” สำหรับผู้สูงอายุ บทความนี้นำเสนอผลการถอดบทเรียนจากการนำโปรแกรมออกแบบชีวิตไปใช้กับสมาชิกโรงเรียนผู้สูงอายุของโรงพยาบาลแม่สรวยในช่วง ปี 2562 – 67 โดยได้นำเสนอความสำคัญของการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า เนื้อหากิจกรรม และกระบวนการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ รวมถึงข้อเสนอแนะสำหรับการขยายผลต่อไป
ทำไมผู้สูงอายุจึงต้องเรียนรู้เรื่องการวางแผนดูแลล่วงหน้า
พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติเรื่องการสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิตของ ประชาชนคนไทย ตามมาตรา 12 ได้ระบุไว้ว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ การดำเนินการ ตาม หนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพ ด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่า การกระทำนั้นเป็นความผิด และให้พ้นจาก ความรับผิดทั้งปวง” อย่างไรก็ตาม 17 ปี หลังจากพรบ.ประกาศออกมาพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชุมชนท้องถิ่น การรับรู้เกี่ยวกับมาตรา 12 ว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะแสดงเจตนาเลือกการรักษาในช่วงท้ายของชีวิต และการวางแผนดูแล ล่วงหน้ายังมีน้อยมาก นอกจากนี้ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคอง ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้าย และทุกคนสามารถเข้าถึงสิทธิการบริการนี้ได้จากทุกโรงพยาบาลในพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ ผู้สูงอายุในชุมชนเมื่อเข้าสู่ช่วงระยะท้ายของชีวิตจึงมักจะได้รับการรักษาที่เกินความจำเป็น และไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุ รวมถึงเกิดกรณีความขัดแย้งด้านการรักษาระยะท้ายของผู้สูงอายุระหว่งลูกหลานกับบุคคลากรทางการแพทย์
อีกด้านหนึ่ง โรงเรียนผู้สูงอายุได้จัดตั้งเพื่อส่งเสริมทักษะความรู้ให้ผู้สูงอายุโดยทั่วไปเนื้อหา ประกอบด้วย (1) วิชาชีวิต (ร้อยละ 50) ที่เน้นให้ทักษะความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุในการนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่ออยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุข (2) วิชาชีพ (ร้อยละ 30 ) ที่เนื้อหาเน้นการส่งเสริมทักษะความรู้ด้านอาชีพที่เหมาะสมกับ ผู้สูงอายุ และ (3) วิชาการ (ร้อยละ 20) ที่เนื้อหาให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่เป็น ประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ รวมถึงกิจกรรมพัฒนาความรู้ การดูแลสุขภาพกายและจิตใจ และการสันทนาเพื่อผ่อนคลายจิตใจ นอกจากนี้ โรงเรียนผู้สูงอายุบางพื้นที่ได้เพิ่มเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับความเสื่อมของร่างกาย การป้องกัน การผลัดตกหกล้ม และชะลอสมองเสื่อม อย่างไรก็ตาม เนื้อหาความรู้ที่กล่าวมายังขาดองค์ความรู้สำคัญในเรื่องการเตรียมกายและใจรับมือกับความเจ็บป่วย และความตาย ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้สูงอายุควรได้ใคร่ครวญทำความเข้าใจเพื่อเตรียมกายใจให้พร้อม ดังนั้นชุมชนกรุณาเชียงรายได้พัฒนา “โปรแกรมออกแบบชีวิต” ซึ่งเป็นโปรแกรมการเรียนรู้ 3 ชั่วโมง เพื่อนำผู้สูงอายุสำรวจธรรมชาติของชีวิต ความต้องการ และได้วางแผนการดูแลล่วงหน้าที่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของตนเอง
โปรแกรมการออกแบบชีวิต
โปรแกรมการออกแบบชีวิตได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ เพื่อชวนผู้สูงอายุสำรวจ ทำความเข้าใจ และยอมรับธรรมชาติของชีวิต สำหรับใช้เป็นพื้นฐานของการออกแบบการดูแลล่วงหน้าให้สอดคล้องกับความต้องการและช่วงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมการเรียนรู้เป็นดังนี้
| เนื้อหาการเรียนรู้ | กระบวนการ | เวลา |
|---|---|---|
| 1. สร้างความสัมพันธ์ | – เริ่มด้วย เกม Brain Gym – กิจกรรมทำความรู้จักกัน – กำหนดข้อตกลงสำหรับพื้นที่เรียนรู้ที่ปลอดภัยและผ่อนคลาย | 30 นาที |
| 2. ออกแบบชีวิตยามแก่ | – ใช้สื่อภาพ “ช่วงชีวิต” – ชวนคุยสำรวจมุมมอง – เขียนความคิดบนกระดาษ และแลกเปลี่ยนมุมมองในกลุ่ม | 15 นาที |
| 3. ออกแบบชีวิตยามป่วย | – ใช้สื่อภาพ “เส้นทางชีวิต” – ชวนคุย ทบทวนชีวิต และสำรวจคุณค่าของชีวิต | 30 นาที |
| 4. ความแข็งแรงของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป และการดูแลแบบประคับประคอง | – ใช้สื่อภาพ “ความแข็งแรงที่เปลี่ยนไป” เพื่อชวนคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับ ธรรมชาติของร่างกายที่เปลี่ยนไป – ใช้สื่อภาพ “เลือกให้หน่อย” เพื่อชวนคุยและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “การดูแลแบบประคับประคอง” | 50 นาที |
| 5. การวางแผนดูแลล่วงหน้า | – ชวนคุยประเด็น การวางแผนดูแลสุขภาพล่วงหน้า | 15 นาที |
| 6. สรุปบทเรียน | เพื่อเสนอแนวทางการสร้างนิเวศการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ | 15 นาที |
กิจกรรมที่ 1 สร้างความสัมพันธ์
กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ เริ่มต้นด้วยชวนผู้เข้าร่วมทำความเข้าใจเป้าหมายของโปรแกรมชีวิตออกแบบได้ โดยใช้ภาพที่ 1 “ช่วงวัยชีวิต” เป็นสื่อการเรียนรู้เพื่อชวนคิด ชวนคุย ชวนสำรวจว่า เรา(ผู้สูงอายุ)มีสุขสภาวะอยู่ช่วงไหน ของภาพ และจะออกแบบชีวิตที่เหลืออยู่ของเราอย่างไร เพื่อให้ผู้สูงอายุเริ่มทบทวนตนเองว่าเราสามารถออกแบบชีวิต ได้ในทุกช่วงวัย ก่อนนำไปสู่ประเด็นของการเรียนรู้ร่วมกันครั้งนี้

นอกจากนี้ กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ยังชวนผู้เข้าร่วมรับทราบเกี่ยวกับกติกาการสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน เป็นการสร้างข้อตกลงร่วม การสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ผู้ร่วมกิจกรรมสามารถเปิดใจเรียนรู้ เปิดหูรับฟัง เปิดปากแลกเปลี่ยนร่วมกันได้อย่างอิสระ
กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ สามารถกำหนดวิธีการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ร่วมกิจกรรมได้หลากหลายเช่น เกม Brain Gym หรือเกมรู้จัก ที่นำผู้เข้าร่วมสร้างความสัมพันธ์ผ่านคำถามต่างๆ โดยกำหนดกติกาให้ผู้เข้าร่วมยกมือขึ้น เมื่อมีคำตอบที่ตรงกับคำถาม และจะมีการสุ่มสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมบางท่าน เพื่อสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยน มุมมองระหว่างผู้เข้าร่วม ตัวอย่างคำถาม เช่น
- ใครอายุต่ำกว่า 40 ปี 40-50 ปี 51-60 ปี 61-70 ปี 71-80 ปี และ 81 ปีขึ้นไป
- ใครมีลูก 1, 2, 3, 4 คน ใครอยู่บ้านสองคนสามี-ภรรยา ใครอยู่บ้านกับลูก (สุ่มสัมภาษณ์ว่าเพราะอะไร)
- ใครมีลูก 1, 2, 3, 4 คน ใครอยู่บ้านสองคนสามี-ภรรยา ใครอยู่บ้านกับลูก (สุ่มสัมภาษณ์ว่าเพราะอะไร)
- ใครคิดว่า ตัวเองแข็งแรง พอมีแรง ไม่ค่อยจะแข็งแรง (สุ่มสัมภาษณ์ว่าเพราะอะไรจึงคิดเช่นนี้)
การออกแบบชีวิตเป็นเนื้อหาหลักของโปรแกรม โดยได้แบ่งการออกแบบชีวิตเป็น 2 ช่วง ได้แก่ การออกแบบชีวิตยามแก่ และการออกแบบชีวิตยามป่วย ตามลำดับดังนี้
กิจกรรมที่ 2 ออกแบบชีวิตยามแก่
การออกแบบชีวิตยามแก่ สร้างบรรยากาศการเรียนรู้เพื่อนำผู้เข้าร่วมใคร่ครวญ ในประเด็นคำถามสำคัญ เช่น มีทัศนคติอย่างไรกับการเป็นผู้สูงอายุ? เราอยากเป็นผู้สูงอายุแบบไหน? ให้ทุกคนทบทวนตนเอง แล้วระดมความคิดเห็นด้วยกัน ก่อนจะเขียนความคิดเหล่านั้นลงบนโพส์อิท และนำไปแปะบนกระดาน
เป้าหมายของกิจกรรมคือการเชื่อมโยงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมไปสู่ความเข้าใจต่อ “ผู้สูงอายุที่พึงปรารถนา” เพื่อสำรวจ 3 ด้านของความต้องการ ได้แก่ (1) ด้านกาย เช่น สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคร้าย นอนหลับดี กินข้าวอร่อย พึ่งพาตัวเองได้ มีเงินทองพอใช้ (2) ด้านจิตใจ เช่น คิดบวก อารมณ์ดี ร่าเริง สดใส ปล่อยวาง ไม่ขี้น้อยใจ ไม่ขี้โมโห ใจเย็น และ (3) ด้านความสัมพันธ์ เช่น เป็นที่รักของทุกคน ทำตัวเป็นแบบอย่าง เป็นประโยชน์ ยอมรับฟังความเป็นต่าง เป็นต้น
กิจกรรมที่ 3 ออกแบบชีวิตยามป่วย
การออกแบบชีวิตยามป่วย คือการชวนผู้ร่วมกิจกรรมทบทวนการใช้ชีวิตของตนเอง เช่น เวลาว่างชอบทำอะไร ทำอะไรแล้วมีความสุข พร้อมทั้งเชื่อมโยงและสะท้อนให้ผู้เข้าร่วมเห็นว่า การสะสมความสุข และรำลึกถึงความสุขส่งผลกระทบต่อกายใจอย่างไรบ้าง หากก่อนนอนเราหมั่นนึกถึงความสุขที่มีในชีวิตสม่ำเสนอจะส่งผลอย่างไร นอกจากนี้ อาจชวนผู้เข้าร่วมสำรวจเพิ่มเติมว่า หากวันใดวันหนึ่งเราต้องจากไป เราต้องการให้ความทรงจำแบบไหนที่จะโผล่ปรากฏอีกในยามที่เราใกล้ตาย เป็นประสบการณ์ความสุขหรือทุกข์ หากประสบการณ์ความทุกข์ทำให้ใจขุ่นมัว และและหากเราต้องจากไปในด้วยที่ใจขุ่นมัวจะส่งผลต่ออย่างไร ไปภพภูมิที่ไม่ดีหรือไม่ ตายดีหรือไม่ ใจเราควรเป็นแบบไหน เป็นต้น
นอกจากนี้ กิจกรรมออกแบบชีวิตยามป่วยได้ชวนผู้เข้าร่วมสำรวจสุขภาพตนด้วยว่า ตอนนี้ใครมีโรคประจำตัว เป็นโรคอะไรบ้าง พร้อมทั้งนำภาพที่ 2 “เส้นทางชีวิต” เป็นสื่อเรียนรู้ถึงเส้นทางการดำเนินของโรคแบบต่างๆ ที่ในช่วง หนึ่งของชีวิตนี้ เราทุกคนอาจจะต้องตกอยู่ในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง ไม่ว่าเราต้องการหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นหน้าที่ของเราคือการดูแลเส้นชีวิตให้ยาวนานที่สุด โดยไม่ต้องเข้าออกโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ภาพเส้นทางชีวิตช่วยให้เราเห็นว่า ปลายทางชีวิตของทุกคนต่างก็หนีไม่พ้นความตาย ณ จุดนี้ หลังการบรรยายผู้นำกิจกรรมจะชวนผู้เข้าร่วมสำรวจมุมมองว่า แต่ละคนรู้สึกอย่างไรกับคำว่า “ตาย” และ “เราอยากตายตอนอายุเท่าไหร่?”

นอกจากนี้ ผู้นำกิจกรรมชวนผู้เข้าร่วมสำรวจอารมรณ์ความรู้สึก ความคิด มุมมองเพิ่มเติมต่อ “การตาย” เช่น เรากลัวอะไร แก่ เจ็บป่วย ป่วยติดเตียง/โรคร้าย หรือความตาย เรากลัวเพราะอะไร รวมถึงตั้งคำถามสำรวจประเด็นสำคัญอื่นๆ เช่น อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนตาย คนตายเพราะอะไรได้บ้าง เราสามารถเตรียมตัวตายหรือเตรียมเผชิญความสูญเสียและการตายได้หรือไม่ หากมีการเตรียมตัวตายหรือไม่มีการเตรียมตัวจะสร้างความแตกต่างอย่างไร ส่งผลต่อตัวเราและครอบครัวอย่างไร เพื่อนำสู่การเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคอง และการวางแผนดูแลล่วงหน้า
กิจกรรมที่ 4 ความแข็งแรงของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปและการดูแลแบบประคับประคอง
กิจกรรมนี้เป็นการชวนผู้เข้าร่วมทำความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแรงของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปและการดูแล แบบประคับประคอง ตามภาพที่ 3 “ความแข็งแรงที่เปลี่ยนไป” เป็นสื่อการเรียนรู้ถึงความแข็งแรงของร่างกาย ที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย ชวนผู้เข้าร่วมสำรวจมุมมองเกี่ยวกับการดูแลคุณภาพชีวิตเมื่อร่างกายเปลี่ยนแปลงไป และภาพที่ 4 และ “เลือกให้หน่อย” สำหรับชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับการตัดสินใจการดูแลสุขภาพเมื่อเข้าช่วงระยะท้าย

ตัวอย่างประเด็นชวนคุย เช่น
- คนที่ยังแข็งแรง ให้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เป็นช่วงที่เรายังมีเวลาเตรียมตัว
- คนที่ยังมีแรง ขอให้อยู่ได้ อยู่ดี เรียนรู้อยู่กับโรคที่เป็น ต้องเริ่มเตรียมให้พร้อม เช่น ทำพินัยกรรมชีวิต
- คนที่เข้าสู่ช่วงเริ่มอ่อนแรง จะทำอย่างไรให้อยู่สบาย อาจจะเป็นการจัดการความไม่สุขสบายกาย/ใจ การเตรียมพร้อมจากไปสงบ เช่น จัดการกับสิ่งคั่งค้าง ความกังวลใจ ทรัพย์สิน และการใช้งบประมาอย่างเหมาะสม เป็นต้น การจัดการกับสิ่งคั่งค้างหรือความห่วงกังวลใจเหล่านี้ ใครคือคนที่จะช่วยได้มากที่สุด คนในครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และเมื่อเราเข้าสู่ช่วงอ่อนแรงมีการดูแลแบบไหนบ้างที่สอดคล้องกับสภาวะร่างกาย เช่น การดูแลแบบประคับประคอง
- คนที่เริ่มโรยแรง เราสามารถเลือกสถานที่พักรักษาได้หรือไม่ สามารถเลือกสถานที่จากไปตามต้องการได้หรือไม่ การเตรียมความพร้อมสำหรับการจากไปทั้งกายพร้อม ใจพร้อม ครอบครัวพร้อมได้อย่างไป โดยทั่วไป การดูแล ในช่วงโรยแรงนี้จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ทำตามความต้องการของเจ้าของชีวิต ชวนทุกคนได้แลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการตายดีคืออะไร เพื่อทำให้เห็นว่าการตายดีของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เราสามารถตายดีในแบบของตัวเองได้
เมื่อเราเข้าสู่ระยะท้ายของชีวิต เราอยากจะเลือกการดูแลแบบไหน เพราะอะไรจึงเลือกแบบนั้น เป็นต้น ทั้งนี้ไม่ว่าเราจะ เลือกแบบไหน ไม่มีถูก ไม่มีผิด และเราสามารถแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าเพื่อเลือกการดูแลในระยะท้ายของชีวิต และยังมี อีกหลายคนที่หมดโอกาส เพราะไม่รู้ หรือไม่ทันเลือก
การดูแลแบบประคับประคอง คือการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรครักษาหายได้ยาก เน้นรักษาตามอาการ เพื่อลดและป้องกันความทุกข์ทรมานต่างๆ ประเมินและดูแลสุขภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ โดยคำนึงถึง ความต้องการและความปรารถนาของผู้ป่วยและครอบครัว เป็นการดูแลที่เน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ไม่ยื้อชีวิต และไม่เร่งความตาย ทุกโรงพยาบาลมีการดูแลแบบประคับประคองและทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงการบริการนี้ โดยเป้าหมาย สูงสุดของการดูแลแบบประคับประคอง คือ “สุขกาย สบายใจ จากไปอย่างมีความพร้อมของผู้ป่วย และญาติ”
ภายใต้มุมมองของการดูแลแบบประคับประคอง เราในชุมชนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลกันและกันได้ เช่น การช่วยปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจของผู้ป่วย หรือการสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้ในสิ่งที่ปรารถนาก่อนตาย และการดูแลหลายด้านที่เจ้าหน้าที่สุขภาพไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ เพราะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่ได้ใกล้ชิดและทราบเรื่องราวของ ผู้ป่วยดีเท่ากับคนในชุมชน การดูแลที่สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมในระบบการดูแลเช่นนี้ คือแนวคิดชุมชนกรุณา ซึ่งชุมชน มีหลายกรณีที่สะท้อนแนวคิดนี้ ที่สมาชิกชุมชนช่วยดูแลผู้ป่วย และสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้ทำในสิ่งที่ต้องการก่อนตาย ณ จุดนี้ ผู้นำกิจกรรมชวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมเล่าเรื่องราวในชุมชน เพื่อเพิ่มกรณีตัวอย่างให้เห็นภาพชุมชนกรุณาชัดมากขึ้น

กิจกรรมที่ 5 การวางแผนดูแลล่วงหน้า
การวางแผนดูแลล่วงหน้าเป็นสิทธิ์ตามกฎหมาย ที่คุ้มครองผู้ป่วยระยะท้ายทุกคนเพื่อให้ได้รับการรักษาเป็นไป ตามเจตนาของผู้ป่วย และทุกคนสามารถเข้าถึงการวางแผนดูแลล่วงหน้าได้ตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ที่ระบุว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตาย ในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือ เพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้” ดังนั้นเราสามารถแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับ บริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ โดยระบุไว้ตามแบบฟอร์มของหนังสือสมุดเบาใจ ซึ่งเป็นคู่มือสำหรับใช้ทบทวนชีวิต และสำรวจคุณค่าของชีวิต เพื่อทำให้ เรารู้ว่าควรจะวางแผนดูแลไปเพื่ออะไร ดังนั้นกิจกรรมนี้ นอกจากผู้เข้าร่วมจะได้ทำความเข้าใจเรื่องการวางแผนดูแลล่วงหน้าแล้ว จะนำผู้เข้าร่วมเขียน “สมุดเบาใจ” คู่มือการเขียนแผนดูแลล่วงหน้าสำหรับแสดงเจตนาการดูแลในช่วงท้ายของชีวิต
กิจกรรมเขียนสมุดเบาใจเน้นให้ผู้เข้าร่วมมีประสบการณ์ตรงต่อการเขียน การแสดงความต้องการ และเจตนา เลือกวิธีการรักษา อย่างไรก็ตาม หากผู้เข้าร่วมคนใดไม่สะดวกเขียนสมุดเบาใจก็ไม่เป็นไร อาจเก็บสมุดเบาใจไว้เพื่อคุยกับคนในครอบครัว สิ่งที่สำคัญของสมุดเบาใจคือการใคร่ครวญคุณค่าตนเอง การสำรวจและสื่อสารความต้องการของตนเองเกี่ยวกับการดูแลในช่วงระยะท้ายให้กับญาติหรือคนใกล้ชิดได้รับทราบความต้องการของเรา หลังเขียนสมุดเบาใจผู้นำกิจกรรมแนะนำผู้เข้าร่วมถ่ายสำเนาสมุดเบาใจหรือเอกสารแผนดูแลส่งที่ รพ.สต. หรือ โรงพยาบาลที่รับบริการอยู่ เพื่อให้โรงพยาบาลได้รับทราบความต้องการของเราล่วงหน้า
กิจกรรมที่ 6 สรุปบทเรียน
โปรแกรมออกแบบชีวิตสำหรับผู้สูงอายุในช่วงสุดท้าย คือการชวนผู้เข้าร่วมทบทวนว่า ได้เรียนรู้อะไรจากการร่วมกิจกรรมบ้าง กิจกรรมมีประโยชน์หรือไม่ มากน้อยเพียงไร และอย่างไร รวมถึงสอบถามถึงทัศนคติของผู้เข้าร่วมด้วยว่าโปรแกรมออกแบบชีวิตที่นำผู้เข้าร่วมพูดคุยเรื่องการตายและการเตรียมตัวตายเหมาะสมหรือไม่ ในบริบทวัฒนธรรมชุมชน นอกจากนี้ ได้มอบหมายการบ้านโดยเชิญชวนไปเยี่ยมผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ หรือในชุมชน หรือกลับไปเล่ากิจกรรมวันนี้ให้คนใกล้ชิดในครอบครัวรับฟังว่า ตนเองมีความต้องการดูแลในช่วยระยะท้ายของชีวิตอย่างไร
สรุปและข้อเสนอแนะ
โปรแกรมออกแบบชีวิตสำหรับโรงเรียนผู้สูงอายุ เป็นกิจกรรมระยะสั้น 3 ชั่วโมง ประกอบด้วย 5 กิจกรรม เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้สูงอายุได้ตระหนักว่า ทุกคนต้องพบเจอกับความเจ็บป่วยและความตายให้บั้นปลายของ ชีวิต เห็นธรรมชาติของชีวิต ตระหนักถึงสภาวะของร่างกายที่ค่อยๆเปลี่ยนไป การดูแลสุขภาพในแต่ละช่วงชีวิต การทบทวนทัศนคติต่อเรื่องความแก่ ความเจ็บ และความตาย การใคร่ครวญว่าการตายดีที่ตนเองต้องการเป็นแบบไหน และมีทักษะในการพูดคุยเรื่องความตาย การเตรียมตัวตาย และสมารถสื่อสารความต้องการกับคนใกล้ชิดได้ รวมถึงเห็นข้อดี และความสำคัญของการวางแผนดูแลล่วงหน้า รับรู้ว่าทุกคนมีสิทธ์ที่จะออกแบบชีวิตวางแผนการดูแลในระยะท้ายได้ และทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงการดูแลแบบประคับคองได้จากทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม การจัดโปรแกรมออกแบบชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวตายในห้าปีที่ผ่านมาพบข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะทัศนคติของผู้เข้าร่วมต่อการพูดคุยเรื่องการตายและการเตรียมตัวตาย ดังนันการนำโปรแกรมไปใช้ขยายผลในโรงเรียนผู้สูงอายุบางพื้นที่ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะดังนี้
(1) การใช้คำว่า “ตาย” อยู่ในกิจกรรม อาจทำให้ผู้สูงอายุหลายท่านรู้สึกไม่สบายใจ อึดอัดใจ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องอัปมงคล และไม่กล้าสื่อสารในกลุ่ม ดังนั้นกระบวนกรควรสังเกตบรรยากาศการเรียนรู้ หากพบว่าผู้สูงอายุบางท่านยังไม่พร้อมพูดคุยเรื่องการตายก็ไม่ควรกดดัน ควรสื่อสารในท่าทีและท่วงท่าที่สบายๆ ให้ทางเลือก และการตัดสินใจว่าสามารถทบทวน หรือทำการวางแผนดูแลล่วงหน้าเมื่อมีความพร้อม
(2) การทำกิจกรรมกับผู้สูงอายุ ระยะเวลาไม่ควรเกิน 3 ชั่วโมง และควรเป็นช่วงเช้าเพราะเป็นช่วงเวลาผู้สูงอายุสามารถจดจ่อกับกิจกรรมได้
(3) ควรตระหนักว่า สิ่งที่เราให้ความรู้ หรือกิจกรรมเรื่อง “การออกแบบชีวิต” ในวันนี้ ผู้สูงอายุอาจจะลืม หรือจำไม่ได้ว่าเคยเรียนรู้ไปกับเราแล้ว ขอให้เราทำใจ และไว้วางใจ แต่การทำกิจกรรมอาจจะใช้สัญลักษณ์ สิ่งสำคัญ คำสำคัญ เพื่อให้ผู้สูงอายุจดจำได้ง่าย เช่น สมุดเบาใจ การดูแลแบบประคับประคอง และควรมีช่วงที่เน้นย้ำ คำสำคัญ เหล่านี้ให้บ่อยครั้งเพื่อเตือนความจำให้ผู้สูงอายุ
การส่งเสริมการวางแผนดูแลล่วงหน้าสำหรับผู้สูงอายุมีความสำคัญและควรนำไปขยายผลทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โปรแกรมออกแบบชีวิตควรเป็นกิจกรรมเรียนรู้พื้นฐานสำหรับทุกโรงเรียนผู้สูงอายุ นอกจากนี้ หากสามารถนำภาคีเครือข่ายในชุมชน เช่น โรงพยาบาล องค์การบริหารส่วนตำบล วัด หน่วยงาน อสม. นักบริบาลชุมชน เป็นต้น เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรม ตัวอย่างเช่น การสนับสนุนสถานที่ ของว่าง อาหารกลางวัน หรือชวนอสม. มาร่วม เป็นพี่เลี้ยงในการทำกิจกรรม การจัดโปรแกรมออกแบบชีวิต เพื่อการส่งเสริมการวางแผนดูแลล่วงหน้าสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนจะค่อยๆเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนชุมชนกรุณา ที่ทุกภาคส่วนในชุมชนมีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชน



