1 ปีสถานชีวาภิบาลเพื่อการตายดี…การเริ่มต้นบนความขาดแคลน “คน เงิน ความรู้
ผู้เขียน: ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
1 ปีนโยบายสถานชีวาภิบาลหรือนโยบายตายดี เมื่อรัฐบาลพรรรคเพื่อไทยสั่งเปิด “สถานดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้ป่วยระยะท้าย ตั้งแต่โรงพยาบาล ชุมชน บ้าน” ทั่วประเทศภายใน 100 วัน ในช่วงเวลาเดียวกับการถ่ายโอนอำนาจ รพสต.สู่ท้องถิ่น คนหน้างานสะท้อนเจอภาวะ “งานมา คนไม่มา งบไม่มี ขาดความรู้ทุกระดับ” ทางรอดปี 2 คือจัดโครงสร้างและบูรณาการ “งาน คน เงิน” ให้สอดคล้อง เพื่อรับมือสังคมสูงวัยที่กำลังมาถึงที่ทั้งผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพิ่มมากขึ้นมหาศาล แต่ขาดระบบรองรับ
พฤศจิกายน 2567 ครบรอบ 1 ปี “นโยบายสถานชีวาภิบาล” หรือนโยบายตายดีที่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสินประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาล รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะจัดตั้ง “สถานชีวาภิบาล” เพื่อดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง ผู้ป่วยติดบ้าน/ติดเตียง และผู้ป่วยระยะประคับประคองจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขตสุขภาพละ 1 แห่ง และจัดตั้งกุฎิชีวาภิบาลให้ครบทุกจังหวัดภายใน 3 ปีเพื่อดูแลพระสงฆ์อาพาธระยะทางตามหลักพระธรรมวินัย
สถานชีวาภิบาลเป็นคำใหม่ ก่อนหน้านี้สังคมคุ้นเคยคำว่า “กุฏิชีวาภิบาล” หรือสถานที่สำหรับดูแลพระสงฆ์อาพาธในวัด แต่จากนโยบายนี้ “สถานชีวาภิบาล” ถูกขยายความจากวัดสู่ระบบสาธารณสุขทั้งระบบ ตั้งแต่โรงพยาบาล ชุมชน และบ้าน และขยายกลุ่มเป้าหมายจากผู้ป่วยระยะสุดท้าย ไปสู่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรังที่ติดบ้าน/ติดเตียง
เมื่อครบรอบ 1 ปี โครงการ Policy Watch, The Active , Peaceful Death จึงจัดเวที Policy Forum ครั้งที่ 20 : 1 ปีนโยบายชีวาภิบาล ความท้าทาย สู่สิทธิการตายดี” ขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 เพื่อติดตามการขับเคลื่อนนโยบายสู่แนวทางปฏิบัติ ว่าประสบความสำเร็จ หรือมีปัญหาอุปสรรคอย่างไร และมีข้อเสนอแนะต่อผู้กำหนดนโยบายอย่างไรเพื่อนำสังคมไทยไปสู่การตายดีได้จริง
ในเวทีนี้ช่วงแรกแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อสำรวจและแลกเปลี่ยนผลสำเร็จ ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะจากการดำเนินตามนโยบายจาก “คนหน้างาน” โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือศูนย์ชีวาภิบาลในโรงพยาบาล สถานสถานชีวาภิบาลในชุมชน เช่น กุฏิชีวาภิบาล เนิร์สเซอรีเอกชน และบ้านชีวาภิบาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานดูแลสุขภาพปฐมภูมิ เช่น โรงพยาบาลสุขภาพตำบล (รพสต.) และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นต่างๆ (อปท.) เช่น เทศบาล องค์กรบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จากนั้นเป็นช่วงนำเสนอข้อปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะแก่ผู้บริหารหน่วยงานผู้เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มงานเวชศาสตร์ประคับประคอง กรมการแพทย์, สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง และกลุ่มงานพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุ กรมอนามัย, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, ศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นและพรรคเพื่อไทย

ชีวาภิบาลในโรงพยาบาล…ขาดคน ขาดเงิน ขาดความรู้
ศูนย์ชีวาภิบาลในโรงพยาบาลเป็นทั้งต้นทางและปลายทางของการระบบชีวาภิบาล จากการแลกเปลี่ยนของผู้เข้าร่วมพบว่าขาดแคลนบุคลากรและกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องทุกระดับยังขาดความรู้เรื่องชีวาภิบาล เช่น ไม่มีแพทย์และพยาบาลเฉพาะทาง ผู้ดูแล (care giver) ไม่มีองค์ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย รวมทั้งค่าตอบแทนผู้ดูแลยังไม่เพียงพออีกด้วย
“ในโรงพยาบาลยังไม่มีกลุ่มงานชีวาภิบาล เราต้องไปดึงคนมาจากแผนกงานอื่น พอยืมตัวมาก็ช่วยได้ไม่เต็มตัว หรือไม่มีความรู้เฉพาะด้าน จำเป็นต้องมีกรอบงาน และกลุ่มงานชัดเจนว่าโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ต้องมีกลุ่มงานชีวาภิบาลและมีอัตรากำลังกี่คนเพื่อให้มีคนทำงานเต็มตัว ไม่ใช่การยืมตัว เพราะบางคนไม่มีความรู้ บางคนมีความรู้แต่ทำได้ไม่เต็มที่เพราะต้องรับผิดชอบงานอื่น” นพ.มณฑล ศรียศชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลแบบประคับประคองกล่าว
ด้านทพญ.อรอนงค์ พูลสวัสดิ์ รอง ผอ. โรงพยาบาลพาน จังหวัดเชียงราย กล่าวว่าโรงพยาบาลพานได้ทำงานเรื่องการตายดีก่อนหน้านโยบายชีวภิบาลมาหลายปีแล้ว โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทุนการพัฒนาคุณภาพชีวิต กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และภาคประชาชน นอกจากนี้แต่ละปีจะมีเงินกองทุนที่ได้จากการทำผ้าป่าสามัคคีปีละ 6-7 แสนบาท เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุ-ชี ผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุที่ป่วย และล่าสุดกระทรวงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (พม.) ได้ทำโครงการช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์ สำหรับ พระภิกษุ- ชี ครอบครัวที่ไม่มีผู้ดูแล โดยจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนให้แก่ผู้ดูแล
โรงพยาบาลเราเป็นโรงพยาบาลชุมชนที่มีหมอเวชาศาสตร์ครอบครัว ทีมสหสาชาวิชาชีพ พยาบาลประคับประคอง พยาบาลประจำตึก เภสัชกร นักกายภาพ ที่มาช่วยดูแลระบบชีวภิบาล เมื่อกลับบ้านก็มี Homeward ดูแลที่บ้านตามนโยบายได้ แต่ก็มีความขัดสนเรื่องงบประมาณและผลตอบแทนคนทำงานเช่นกัน
ในกรณีนี้พญ.เดือนเพ็ญ ห่อรัตนาเรือง หัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ประคับประคอง กรมการแพทย์ ให้ความเห็นว่ากระทรวงสาธารณสุข ทำงานเรื่องการดูแลแบบประคับประคองมาครบ 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องใหม่ โดยกระทรวงฯ ขาดอัตรากำลังทุกระดับ เมื่อมีนโยบายใหม่จากรัฐบาล แต่ละโรงพยาบาลจะจัดบริการในโรงพยาบาลของตัวเองเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตามนโยบายสถานชีวิภาพเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ในต่างประเทศก็ไม่มี กล่าวคือเชื่อมโยงการดูแลผู้ป่วยระยะยาว ผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วยระยะท้ายเข้าด้วยกัน โดยใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทำให้งานใหญ่ขึ้น ซึ่งทางกระทรวงกำลังขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง แต่ยังติดปัญหาเรื่องกรอบอัตรากำลังที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.)
“ ประเทศไทยมีระบบการตายดีที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับทั่วโลกตามดัชนี Death Index ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 36 จากกว่า 100 ประเทศ โดยมีการบูรณาการการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองเข้าสู่ระบบสุขภาพรวม เราทำงานด้านนี้มี 10 ปีแล้ว ดดยไม่มีกรอบอัตรากำลังตามโครงสร้างงาน แต่มีผู้เสียสละในการการทำงานเพิ่ม เมื่อมีผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุเข้ามาด้วย และเรากำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ถ้าไม่ทำเรื่องอัตรากำลังจะยากยิ่งขึ้น“ พญ.เดือนเพ็ญกล่าว
ข้อเสนอแนะของการพัฒนาชีวภิบาลในโรงพยาบาลคือการเพิ่มความรู้เรื่องชีวาภิบาล ด้วยการบรรจุหลักสูตรการดูแลแบบชีวาภิบาลในโรงเรียนแพทย์ให้เหมือนวิชาอื่น รวมทั้งให้ความรู้เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลและประชาชนด้วย ควรมีการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า เช่น ผู้ป่วยเรื้อรังควรวางแผนสุขภาพล่วงหน้า การปรับเงินเดือนให้ผู้ดูแลเพื่อให้การทำงานมีคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวงพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ (พม.) มามีส่วนร่วมในระบบด้วย
ข้อเสนอแนะของการพัฒนาชีวภิบาลในโรงพยาบาลคือการเพิ่มความรู้เรื่องชีวาภิบาล ด้วยการบรรจุหลักสูตรการดูแลแบบชีวาภิบาลในโรงเรียนแพทย์ให้เหมือนวิชาอื่น รวมทั้งให้ความรู้เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลและประชาชนด้วย ควรมีการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า เช่น ผู้ป่วยเรื้อรังควรวางแผนสุขภาพล่วงหน้า การปรับเงินเดือนให้ผู้ดูแลเพื่อให้การทำงานมีคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวงพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ (พม.) มามีส่วนร่วมในระบบด้วย
ชีวาภิบาลที่วัด เพื่อดูแลพระ…อยู่ได้ด้วยเงินบริจาค ไม่ยั่งยืน
ภายหลังจากนโยบาย Quick win ใน 100 วัน ปัจจุบันมีสถานชีวาภิบาลชุมชนขึ้นทะเบียนกว่า 600 แห่ง ในจำนวนนี้ 400 กว่าแห่งที่เป็นสถานชีวภิบาลในวัด ทั้งนี้เพราะวัดมีสถานที่พร้อม โดยจุดเริ่มต้นของสถานชีวาภิบาลที่วัดขึ้นเพื่อดูแลพระสงฆ์อาพาธระยะท้าย ในกลุ่มนี้พบว่าวัดมีสถานที่ แต่ประสบปัญหาหลักคือขาดงบประมาณและคน โดยเงินและอุปกรณ์ส่วนใหญ่มาจากการบริจาคของประชาชน ซึ่งไม่สม่ำเสมอ และแม้สปสช.จะมีงบประมาณมาให้แต่ไม่เพียงพอและไม่ยืดหยุ่น จึงส่งผลต่อความยั่งยืนของโครงการ
ตัวแทนสถานชีวาภิบาลวัดทับคร้อ จังหวัดพิจิตรให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน สถานชีวาภิบาลที่วัดมีห้องรองรับพระสงฆ์อาพาธ 10 ห้องดูแลพระสงฆ์อาพาธ 9 รูป ได้รับเงินสนับสนุนจากสปสช. ปีละ 48,000 บาท ซึ่งนอกจากจะไม่เพียงพอแล้ว ทางวัดยังมีภาระงานจัดทำเอกสารจำนวนมากเพื่อส่งสปสช.ด้วย

“หน่วยงานอื่นมาช่วยให้ความรู้เรื่องการดูแล เช่น อสม. รพสต. สสจ. กรมอนามัย แต่ไม่ได้สนับสนุนเป็นเงิน สำนักงานพระพุทธศาสนาก็ไม่มีเงินให้ เราพึ่งพาตัวเองจากเงินบริจาคร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราไม่สามารถคาดหวังเงินบริจาคสม่ำเสมอ ถ้าบริจาคเพียงพอก็รอดตัว ถ้าไม่พอต้องหาทางแก้ไข ตอนนี้มีสถานะเหมือนแม่ วันใดไม่มีเงินถวายภัตตาหารพระก็ไม่ได้ ค่าน้ำค่าไฟเป็นภาระสะสมทุกเดือน”
รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล หัวหน้าศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ส่งเสริมแนวทางกุฏิชีวาภิบาลมาตั้งแต่ก่อนมีนโยบายนี้และพัฒนาหลักสูตรชีวาภิบาลสำหรับพระสงฆ์กล่าวว่า สถานชีวาภิบาลที่วัดมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลพระสงฆ์อาพาธติดเตียงและระยะท้ายเพื่อให้พระมรณภาพที่วัดท่ามกลางคนที่คุ้นเคยและตามพระธรรมวินัย กุฏิชีวาภิบาลจึงเป็นสถานที่รองรับพระสงฆ์ ไม่ใช่เพื่อฆราวาส
“สองปีที่ผ่านมาเราได้อบรมพระสงฆ์เพื่อดูแลพระอาพาธระยะท้าย พอจัดแล้วพบว่าพระเข้าใจสิ่งที่เราสอนดีกว่าแพทย์หรือพยาบาล เพราะพระเข้าใจเรื่องความตายอยู่แล้ว คอร์สสุดท้ายอบรมเรื่องการูแลความสูญเสีย พระที่มาอบรมสามารถช่วยเยียวยาความสูญเสียของชาวบ้านได้ดี พระจะเป็นเครือข่ายให้ความรู้เรื่องการตายดีได้ดี ทั้งการดูแลประคับประคอบ การวางแผนล่วงหล้า”
บ้านชีวาภิบาล…งานมา คนไม่มา แถมกองทุนหลากหลายชวนสับสน
สถานชีวาภิบาลที่บ้านมักเกี่ยวข้องกับระบบการบริการแบบปฐมภูมิ หรือรับรู้ทั่วไปว่าโรงพยาบาลบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพสต.) การมาของนโยบายสถานชีวาภิบาลเกิดขึ้นพร้อมกันกับการถ่ายโอนอำนาจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลจากกระทรวงสาธารณสุขไปสู่การองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งเชิงนโยบายและอำนาจการบริหาร
ในการเสวนากลุ่มย่อยพบว่าการถ่ายโอนอำนาจประสบปัญหา “งานมา คนไม่มา” บุคลากรบางตำแหน่งไม่ได้โอนย้ายตามมาด้วย เช่น ผู้จัดการผู้ดูแล (Care manager:CM) ระบบการดูแลผู้ป่วยที่บ้านจึงขาดบุคลากรทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น ผู้ดูแลหรือ Care giver ขาดความรู้ในการดูแลผู้ป่วย และนอกจากใช้เวลาดูแลผู้ป่วยแล้วยังต้องกรอกเอกสารเพื่อรับค่าใช้จ่ายเป็นรายหัว นอกจากนี้การโอนย้ายไปยังองค์กรส่วนท้องถิ่นยังมีประเด็นเรื่องการเมืองเข้าเกี่ยวข้อง
อีกประเด็นสำคัญคืองานดูแลสุขภาพแบบปฐมภูมิเป็น “ปลายทาง” รองรับนโยบายของหน่วยงานต่างๆ จึงมีหน่วยงานและกองทุนส่งเสริมสุขภาพที่หลากหลาย เช่น กองทุนผู้ป่วยเรื้อรังระยะยาว กองทุนผู้ป่วยระยะท้าย กองทุนผู้มีภาวะพึ่งพิง โดย แต่ละกองทุนมีเงื่อนไขการสนับสนุนบริการแตกต่างกัน และการเปลี่ยนสถานะผู้ป่วยส่งผลต่อการให้บริการ เช่น ไม่สามารถเบิกผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้เป็นต้น จึงมีข้อเสนอแนะให้มีระบบศูนย์กลางรวมข้อมูลกองทุน “เสียบบัตรประชาชนรู้ว่าใช้เงินกองทุนใดบ้าง” เพื่อการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมและไม่สับสน และมีการบริหารจัดการงบประมาณที่ให้อำนาจท้องถิ่นจัดการให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่
ต่อกรณีนี้รัชนี บุญเรืองศรี รอง ผอ.สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง และกลุ่มงานพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุ กรมอนามัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตฐานและหลักสูตรอบรม CG ชี้แจงว่า ก่อนถ่ายโอนอำนาจ กรมอนามัยอบรม CM ให้ รพสต.ทุกพื้นที่ พอถ่ายโอนแล้วคนเหล่านั้นไม่ปฏิบัติงานต่อ กรมอนามัยจึงจัดหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุขให้ CM โดยในปีงบประมาณ 2567 นี้ได้จัดอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น 7,000 คน รวม 11 รุ่น รวมทั้งมีโครงการให้ความรู้ด้านชีวาภิบาลผู้ดูแลนโยบายในท้องถิ่นและมีแผนกรพัฒนาบุคลากรทีมสนับสนุนของท้องถิ่นระดับผู้อำนวยการกอง และผู้อำนวยการกลุ่มงาน 4 รุ่น 4 ภาค ภาคละ 400 คน โดยหลักสูตร CM และ CG แนวใหม่ ได้เพิ่มความรู้การดูแลแบบประคับประคอง ส่วนหลักสูตรฟื้นฟู CM ที่ผ่านการอบรมเมื่อ 3 ปี เพิ่ม ได้เพิ่มเนื้อหาการดูแลแบบประคับประคองด้วย
สถานชีวาภิบาล ปี 2…จะไปทางไหนดี?
พญ.เดือนเพ็ญ ห่อรัตนาเรือง กล่าวว่าคำว่า “สถานชีวาภิบาล” ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นสถานที่ กระทรวงสาธารณสุขต้องออกแบบโครงสร้างการบริการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยให้มีศูนย์ชีวภิบาลในระดับโรงพยาบาลที่เชื่อมโยงกับทีมปฐมภูมิที่บ้านและชุมชนเพื่อการดูแลเป็นเหมือนสายธารไม่ขาดสาย
รศ.พญ.ศรีเวียง กล่าวในฐานะผู้เริ่มต้นดำเนินการระบบการดูแลแบบชีวาภิบาลมาสิบกว่าปี บอกว่าระบบการดูแลแบบประคับประคองในประเทศไทยพัฒนาแบบก้าวกระโดด โดยมีศูนย์ดูแลแบบประคับประคองในโรงพยาบาลแล้ว 90 เปอร์เซน การเกิดขึ้นของนโยบายชีวาภิบาลที่ขยายไปครอบคลุมผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุสามารถทำได้แต่ต้องมีระบบโครงสร้างและความก้าวหน้าในอาชีพ เช่น มีตำแหน่งรองรับ เพื่อสนับสนุนให้คนทำงานอย่างต่อเนื่อง
“เราต้องมีกลุ่มงานดูแลประคับประคอง ระบบบริการสุขภาพต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสุขภาพและโครงการสร้างประชากร มีโรคมะเร็ง โรคเรื้อรัง ไตวายเรื้อรัง ความจำเสื่อม แต่ละโรคอยู่ยาว ตายยาก ต้องจัดกลุ่มงานให้มีประสิทธิภาพ อาจเป็นกลุ่มงานชีวาภิบาลที่รวมการดูแลระยะยาวและการดูแลแบบประคับประคองเข้าจะทำให้พัฒนางานและใช้เงินที่มีอย่างคุ้มค่า เช่น ต้องพัฒนาลงทุนผู้ดูแล (CG) เพื่อให้เป็นอาชีพใหม่ที่น่าสนใจและมาแทนที่คนตกงาน“

“อีก 10 ปีข้างหน้า ปัญาหาคนสูงอายุจะเป็นปัญหาใหญ่มาก ต้องบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อนำงบประมาณก้อนใหญ่มารวมกัน เพื่อให้สามารถสร้างระบบการดูแลที่มีประสิทธิภาพ หากพรรคการเมืองใช้นโยบายนี้เป็นเรือธงจะได้รับความนิยมมากขึ้น”
ด้านนพ. สมศักดิ์ ชุนหรัศมิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวสรุปว่านโยบายสถานชีวาภิบาลเน้นสนับสนุนการสร้างผู้เล่นนอกระบบบริการสาธารณสุขหลัก เช่น วัด ชุมชน สถานบริกรเอกชน แต่ ผู้กำหนดนโยบายควรกลับมาพัฒนาระบบบริการในโรงพยาบาลให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยศึกษาว่าสถานที่นั้นต้องการกำลังคนแบบใด เช่น รพ.บ้านตาขุน ออกแบบดูแลผู้ป่วยเบาหวานแบบไม่ใช้ยา เอาเงินค่ายาไปจ้างผู้ดูแลเป็นต้น ที่สำคัญคือไม่ควรออกแบบตัวชี้วัดเพื่อควบคุมการทำงานของสถานชีวาภิบาลระดับต่างๆ
ปิดท้ายด้วย นพ.โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในฐานะผู้กำหนดนโยบาย ว่าจำเป็นต้องแยกระบบข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขออกจากกพ. เนื่องจากติดกรอบอัตรากำลัง ขณะที่ระบบกระทรวงสาธารณสุขใช้คนทำงาน โดยกลับไปนำเสนอแนวทางดังกล่าวให้กับพรรคต่อไป