ผู้เขียน สุพัตรา กิจวิสาละ
“ระหว่างเมียกับน้องจะเลือกใคร บุญเกิด” เสียงนี้ลอยขึ้นมาค่อนข้างดังกว่าปกติในค่ำวันหนึ่ง ขณะที่ผมกับเธอกำลังเขี่ยอาหารค่ำอย่างฝืดฝืน ผมระแวงว่าน้องบุญดีที่นอนเตียงตรงมุมบ้านเล็กๆของเราและเพิ่งเคลิ้มหลับไปหลังได้ยาแก้ปวดจะได้ยิน และเกิดความน้อยใจขึ้นมาอีก
ผมรู้ว่าส่งศรีเป็นพี่สะใภ้ที่รักบุญดีน้องชายคนเล็กของผมราวกับเป็นน้องในไส้ของเธอเอง ร่วมสองปีตั้งแต่น้องบุญดีเริ่มป่วยเธอก็ไม่รังเกียจคำว่าวัณโรคปอดเมื่อผมจะรับน้องเข้ามาอยู่ที่บ้านด้วยกัน เธอยังเป็นตัวตั้งตัวดีมองหาหมอที่คิดว่าดีที่สุด ดูแลให้น้องกินยาจนครบ พอสุดท้ายรู้ว่าบุญดีไม่ได้เป็นวัณโรค แต่เป็นมะเร็งปอดระยะลุกลามไปกระดูกทำให้ร่างกายท่อนล่างหมดความรู้สึก และนอนติดเตียงจนเกิดแผลกดทับขนาดใหญ่ที่ก้นกบ เธอเสียอกสียใจและต่อว่าผมที่เป็นพี่ชายแท้ๆว่าพาหาหมอช้าไปน้องถึงทรุดหนัก บุญดีนอนแซ่วเธอก็ป้อนข้าวเช็ดตัวทำแผลให้เอง บุญดีเองเวลาอ่อนแอก็เรียกหาแต่พี่สะใภ้ เป็นบุญสมพี่สาวแท้ๆเสียอีกที่บุญดีไม่ค่อยถูกใจให้มาดูแลปรนนิบัติ
ปีกลายตอนที่คุณหมอเรียกคุยว่าโรคมะเร็งของน้องบุญดีเพิ่งมาพบเอาก็ลุกลามถึงกระดูกแล้ว ไม่สามารถผ่าตัดได้ อาการของโรคตอนนั้นไม่ดีเลย ส่งศรีผพี่สะใภ้แต่ฟูมฟายนานเสียยิ่งกว่าเราสามคนที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกันเสียอีก
หลังที่รู้จักกันไม่นาน ผมกับส่งศรี เราก็ตกลงร่วมหัวจมท้ายกัน แม้คราวนั้นพ่อแม่เธอยังปฎิเสธผมแต่เธอก็เลือกมาอยู่กินกับผม ลูกชายของเราสองคนเป็นเด็กดีเลี้ยงง่าย ตั้งใจเรียน คนโตสอบเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้ เรียนจบก็ได้งานมีเงินเดือนทันที คนเล็กเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงเช่นเดียวกับพี่ชาย พวกเขาคือความภาคภูมิใจของแม่ที่ไม่รู้หนังสือ พ่อที่เรียนค้างแค่ประถมสามแล้วร่อนเร่จากดินแดนที่ราบสูงมาสู้ชีวิตในแดนไกล เริ่มตั้งลงเรือเป็นตังเกจวบจนเป็นหนุ่มใหญ่ถึงขึ้นฝั่งมาทำสารพัดงาน จนตั้งครอบครัว เราก่อร่างสร้างจากศูนย์จนมีวันนี้ ผมเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย มีบ้านเล็กๆ มีรถตู้เก่าๆสองคันไว้รับงาน ครอบครัวของเราปรองดองอบอุ่นตลอดมา
ฟังอาการจากคุณหมอเมื่อปีกลายเราตกใจแต่เริ่มแรกและในที่สุดก็ทำใจกันได้แล้ว แต่ใจจริงผมยังหวังอยูในใจเสมอ บุญดีก็ด้วย เมื่อคิดตกเขาก็สั่งเสียวาระสุดท้ายที่ต้องการ ว่าเมื่อวันนั้นมาถึงให้พาร่างเขากลับบ้านไปจัดงานที่หนองบัวลำภู และนำเถ้ากระดูกเขาโปรยลงแม่น้ำโขงที่สกลนคร
แต่พอเกิดอะไรผิดปกติเขาก็มองหน้าผม ขอมาโรงพยาบาล กินยาต่างๆตามหมอจัดให้ไม่ดื้อขัดขืน
เรากันเงินไว้ห้าหมื่นบาท สำหรับงานศพเล็กๆอย่างที่บุญดีต้องการ มีเพียงพี่น้อง”สามบุญ”ลูกๆของพ่อแม่ที่วัดใกล้บ้านที่นี่ แทนที่จะกลับไปหนองบัวลำภูบ้านเกิดซึ่งรูปแบบงานศพต้องใช้จ่ายสูงเกินกำลังเรา เราคิดกันครบ แต่เราก็ยังหวัง
และชีวิตบางทีเหมือนปาฏิหาริย์ การฉายแสงที่กระดูกสันหลังตอบสนองดีเกินคาด จากนอนแซ่วบุญดีลุกมาเดินได้ นั่งรอหมอตรวจได้เอง ผมแค่มาส่งและมารับกลับ แน่นอนครอบครัวเราตื่นเต้นดีใจ มีความสุขและมีความหวังขึ้นมาอีก
แต่ขณะเดียวกันการงานของผมก็ถูกกระทบ ธุรกิจขายตรงที่รายได้ส่วนใหญ่มาจากการออกพบลูกค้า พอผมใช้เวลากับการดูแลบุญดี ทั้งเมื่ออยู่ที่บ้าน พาเข้าออกโรงพยาบาล พามาตรวจตามนัด พามาห้องฉุกเฉินแบบไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนกลางดึกกลางดื่นหอบหิ้วกันมาถี่ขึ้น และที่สำคัญการอดหลับอดนอน ความเหนื่อยล้า ความเศร้าโศกเสียใจ ความเครียดทำให้พลังงานชีวิตผมลดถอยลง เกินกว่าจะไปพูดคุยเชิญชวนใครต่อใครให้เกิดความอยากได้แผ่นประคองหลังเพื่อสุขภาพที่ผมขายอยู่ได้ นั่นหมายถึงการเงินของบ้านเราไม่เป็นดังเดิม ดีที่ครอบครัวผมยังเข้าใจกัน รักกัน เป็นกำลังใจให้กันมา
ผ่านปีแรกมาเข้าปีที่สอง บุญดีดูกระเสาะกระแสะลงกว่าปีที่แล้วชัดเจน เขาช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง กินข้าวกินยาต้องกลับมาป้อนอีกครั้ง
เมื่อต้นเดือนที่น้องปวดหัวรุนแรง นอนครวญคราง คลานขึ้นบันไดไปเคาะห้องผมกลางดึก ร้องว่าทรมานเหลือเกิน ผมพามาห้องฉุกเฉินก็ได้ยาแก้ปวด กลับบ้านไปก็ปวดใหม่ กลับมาใหม่สามวันติดกัน จนมาเจอคุณหมอเจ้าของไข้ถึงได้เจาะน้ำไขสันหลังออกทันที คราวนี้คุณหมอว่าผลตรวจพบมะเร็งร้ายกระจายไปสมองแล้ว บุญดีถามถึงการผ่าตัดอีกครั้งแต่คุณหมอว่าตำแหน่งของก้อนเนื้อในสมองไม่สามารถผ่าตัดได้ บุญดีหน้าเสียจนผมใจแป้ว ผมถามถึงการรักษาอื่นใดที่ทำให้น้องกลับมาสดใสขึ้นได้ขอให้บอก และมีทางเดียวคือยามุ่งเป้า ผมหันไปมองหน้าน้องคนเล็กของบ้าน แววตาน้องมองมาที่ผม เราสบตากันก่อนน้องจะหลับตาลง ถ้าเขาไปแล้วจะไม่สามารถหวนคืนมาได้อีก
นอกจากพยักหน้ากับคุณหมอว่าผมพร้อมสำหรับการจ่ายเงินค่ายาเพื่อยืดชีวิตของบุญดีแล้ว ความหวังและความยินดีที่น้องจะได้รับการรักษาทำให้ผมเร่งกับพี่พยาบาลว่าอยากได้ยามาให้น้องกินทันทีตอนนี้เลย ผมเกรงว่าอีกสองวันที่คุณหมอบอกว่าค่อยมารับนั่นจะช้าไป กลัวคุณหมอไม่มั่นใจว่าผมจะพร้อมเรื่องเงิน นั่นจึงทำให้ผมยืนยันซ้ำๆกับทุกคนที่โรงพยาบาล
เป็นวันเดียวที่ทางบ้านเราช่วยกันเก็บข้าวของให้จอมลูกชายคนเล็กเข้าไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เราต้องเตรียมเงิน เงินก้อนสุดท้ายสำหรับครอบครัวเราหมดไปเพื่ออนาคตของลูกรัก
บางคืนผมนอนคิดในความมืด ผมอยู่กับความดีใจเหนื่อยใจกังวลใจชุ่มชื่นใจตลอดเวลาร่วมสองปี แต่ผมยินดีเลือกชีวิตแบบนี้และคิดว่าผมไหว
ส่งศรีเริ่มเหนื่อยล้าเมื่อเราหารายได้ทดแทนด้วยการไปตั้งแผงขายเครื่องดื่มที่ตลาดนัดทุกเย็นวันศุกร์ ผมให้น้องบุญส่งลาออกจากงานโรงงานมาอยู่ด้วยกันที่บ้านเราเพื่อช่วยดูแลบุญดี เพื่อให้ผมกับส่งศรีไปขายของหาเงิน มีบางเย็นฝนตกหนัก ขายของที่ตลาดไม่ได้เหมือนเคย
น้องมีอาการปวดหัวบ่อยขึ้น ไม่รู้จะทำอย่างไรก็มาห้องฉุกเฉินตอนดึกๆเที่ยงคืนตี่หนึ่ง มาถึงน้องพูดคุยรู้เรื่องไม่เหมือนตอนอยู่บ้าน วัดชีพจรแล้วปกติดี เข้าให้กลับตอนตีสองครึ่ง ผมรับน้องกลับบ้านไปด้วยใจกังวลหนักอึ้ง น้องปลอดภัยดีแล้วหรือยัง
ผมรู้ว่าส่งศรีกังวล เธอบ่นว่าถ้าบุญดีตายจะเอาที่ไหนจัดงานศพ ถ้าคนในบ้านเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จะเอาที่ไหน ตลอดปีกว่าที่ผ่านมาเราก็ใช้พลังกับบุญดีมามากแล้ว ถ้าลูกที่กำลังเรียนต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจะเอาที่ไหนจ่าย ทำไมผมต้องเอาความมั่นคงของครอบครัวมาจ่ายให้บุญดีไม่สิ้นสุดเสียที
คืนก่อนทั้งคืนผมนอนไม่หลับเลยครับ พลิกไปพลิกมาวนเวียนคิดยันเช้า ในที่สุดเงินก้อนห้าหมื่นสำหรับจัดงานศพบุญดีก็ถูกเบิกออกมาเกลี้ยงบัญชีและนำมาที่ห้องจ่ายยา ก็ยังไม่พอค่ายา ผมต้องกลับไปหาเพิ่มอีกสี่หนึ่งหมื่นสี่พันสองร้อยแปดสิบบาทให้ทันก่อนห้องยาจะปิด
ใช่ครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมพยักหน้ารับมาตลอดเกี่ยวกับการรักษาของน้องชายคนเดียวของผม ผมมองหน้าน้องบิดเบี้ยวกุมหัว มองแววตาเศร้าหมองของน้อง ฟังเสียงสะอื้นของน้องกลางดึก ผมจะมีคำตอบอื่นไปได้อย่างไร
ผมไม่ลืมเมื่อผมทิ้งน้องคราวนั้น ผมปลอบใจตัวเองว่าวันนั้นผมยังเอาตัวไม่รอด แต่มาวันนี้ผมพอมีกินมีใช้บ้างแล้ว ผมไม่สามารถมารถส่ายหน้าปฏิเสธได้ หากรู้ว่ามีทางไหนก็ตามช่วยน้องได้
ไม่เช่นนั้นผมคงจำตลอดไป ว่าผมปล่อยมือน้อง
ตั้งแต่ได้ยานั่นมาเดือนแรกบุญดีก็ดีขึ้น จากนอนกุมหัวร้องโอดโอยก็เงียบเสียงร้องลง ลุกนั่งกินข้าวเองได้ ยิ้มได้ เดินเข้าห้องน้ำเองได้ และบอกผมให้อัดวิดีโอที่เขาพูดขอบคุณคุณหมอและคุณพยาบาลส่งให้ดู
ส่งศรีเองเมื่อเห็นว่าน้องดีขึ้นเธอก็ดีใจ และผมให้ความมั่นใจกับเธอว่าผมจะพาครอบครัวเราผ่านครั้งนี้ไปได้ เหมือนทุกความขึ้นลงของชีวิตที่เราผ่านมาด้วยกัน
ยาใกล้หมดคุณหมอได้ยามาเพิ่มให้ ผมกับพี่พยาบาลทำตารางกินยาดูแล้วได้อีกร่วมเดือน เราคุยกันว่าถ้าหนึ่งเดือนนี้หมดยาแล้วเราจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป ผมจะหาคำตอบร่วมกับบุญดี
ในช่วงสองเดือนมานี่ ผมวนเวียนพาน้องมาห้องฉุกเฉินจนนับครั้งไม่ถ้วน มักเป็นตอนกลางคืนเพราะตอนกลางวันน้องเหมือนปกติดี พอตกค่ำน้องเริ่มมีเกร็งกระตุกและมากขึ้นตอนดึกๆ บางครั้งน้องหลับนิ่งไปผมกลัวว่าน้องจะหลับไปเลยผมคิดว่ายังมาสามารถทำใจได้หากน้องจะหลับต่อหน้าผมตามลำพังผมจึงเรียกรถพยาบาลมารับน้องไปห้องฉุกเฉินอีก บางครั้งไปถึงแล้วก็ให้กลับเลยเมื่อด่านหน้าวัดความดันวักประวัติแล้ว บางครั้งให้นอนหนึ่งคืน บางครั้งสองคืน
ผมตัดสินใจหยุดยาบางตัวไปเพราะผมสังเกตว่าน้องซึมเงียบลงเมื่อกินยากันชัก ผมจึงตัดสินใจไม่ป้อนยากันชักให้น้อง เรื่องนี้ผมไม่กล้าบอกคุณหมอหรือพี่พยาบาล
เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมกับส่งศรีออกไปขายเครื่องดื่มที่ตลาดนัด ขณะที่ลูกค้ากำลังเดินนานตลาด ขายดีเป็นพิเศษเพราะเป็นช่วงต้นเดือน ผมดีใจกับการตักน้ำแข็ง หยิบน้ำอัดลมเติมแก้วแล้วแก้วเล่าหลังจากจากสัปดาห์ก่อนฝนตกหนักต้องหยุดขาย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บุญส่งที่ผมให้ทำหน้าที่อยู่เฝ้าน้องบุญดีก็ระล่ำระลักโทรมาว่าน้องชักอีกแล้ว เพื่อนบ้านช่วยเรียกรถพยาบาลมารับไปส่งห้องฉุกเฉิน ผมทิ้งให้ส่งศรีรับมือกับลูกค้าไปตามลำพัง ส่วนตัวเองรีบตรงไปโรงพยาบาล
เพื่อนบ้านต่างถามว่าผมทำไมไม่ปล่อยให้น้องไป ใจผมคิดว่าพวกเขาเป็นคนอื่นก็พูดแบบนั้นได้สิครับ แต่สำหรับผม ผมเป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนและเป็นพ่อแม่ด้วยในวันที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว
หลังๆมานี่ผมรู้สึกว่าผมอื้ออึงในหัว คิดอะไรได้ช้าลง เหมือนวิทยุตอนที่ถ่านใกล้หมด ผมฟังอะไรแล้วคิดตามไม่ทัน พูดไม่ออกเวลาคุณหมอถาม
และเป็นอีกค่ำที่บุญดีมีอาการกระตุก ผมนึกภาพห้องฉุกเฉินที่หนาวเย็น แสงไฟจ้า เสียงสารพัดดังตลอดเวลา ผู้คนเดินผ่านไปมาแต่เหมือนมองไม่เห็นกัน ไม่ได้ยินเสียงเรียกกัน ภาพถ้วยข้าวต้มวางใต้เปลเข็นน้องในขณะที่คนไข้ที่นั่งเองกำลังตักกินกันอยู่ แต่ในที่สุดผมพามาห้องฉุกเฉินกลางดึก คุณหมอเจาะน้ำไขสันหลังให้น้องรู้สึกตัวอีกครั้ง
บนเปลเข็นในห้องฉุกเฉินผมป้อนข้าวต้มน้อง กระซิบบอกรักน้อง และจะรักตลอดไป ขอบคุณน้องที่สู้ชีวิตมาด้วยกัน ผมกลับบ้านมากล่าวขอบคุณส่งศรี บุญส่งน้องสาวผม และขอบคุณลูกของเราสองคนที่ร่วมกันบนเส้นทางแห่งหัวใจที่เราผ่านมาด้วยกัน
ก่อนจะรับน้องกลับบ้านเรา เฝ้ามองน้องหลับนิ่งด้วยความกังวล พอน้องทำท่าเกร็ง ผมก็พามาห้องฉุกเฉิน วนเวียนเช่นนี้
“พี่พยาบาลครับ วันนี้พี่มาทำงานหรือยังครับ” ผมรู้ว่าวันนั้เป็นวันหยุดพิเศษ แต่ผมเผื่อๆไว้
“น้องบุญดีหมดสติไปเมื่อวาน ผมพามาห้องฉุกเฉิน วันนี้น้องยังหลับไม่ตื่นแต่เขาให้กลับแล้วครับ ”
ผมรู้ว่าน้องต้องจากไปในวันหนึ่ง ผมเข้าใจได้ แต่จะให้นั่งมองน้องหลับไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้ครับ”



