สังคมไทยกับ “สึนามิผู้สูงวัย”

โดย ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์

“คลื่นสึนามิผู้สูงวัย” กำลังถาโถมประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงประเทศไทย ปีหน้าสิงคโปร์จะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสมบูรณ์ โดยมีประชากรอายุเกิน 60 ปี ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ส่วนญี่ปุ่นจากคนวัยทำงาน 1 ต่อ 8 ในปัจจุบัน จะเหลือเพียง  1 ต่อ 5 ในอีก 15 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2583)  ขณะที่ผู้สูงอายุไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 12.5 ล้านคนเมื่อปีพ.ศ.2564 เป็น 20.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 31.4% ในอีก 15 ปีข้างหน้า  ในการประชุมวิชาการเวชศาสตร์และวิทยาการด้านผู้สูงอายุ “ มหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุครั้งที่ 5” ​เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ได้กล่าวถึงผลการศึกษาระบบสุขภาพเพื่อรองรับสังคมสูงวัย​ ทั้งในประเทศไทยและประเทศที่ประชากรสูงวัย “ล้ำหน้า” กว่าไทยไปแล้ว อย่างสิงคโปร์และญี่ปุ่น

ประชากรไทย…ผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายสุขภาพสูง

ผศ.ดร.รักชนก คชานุบาล คณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่าแนวโน้มประชากรไทยกำลังลดลง โดยเด็กแรกเกิดและคนวัยทำงานอายุ 25-64 มีแนวโน้มลดลง ส่วนผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น​ “การเข้าสู่สังคมสูงวัยในประเทศไทยกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับภาพรวมทั่วโลก จากข้อมูลพบว่าปัจจุบันผู้สูงอายุอายุยืนยาวกว่าอดีต การอายุยืนยาวมีความเสี่ยงเรื่องสุขภาพ อายุยืนและสุขภาพจึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส โอกาสในที่นี้คือมีกลุ่มใหญ่ที่ต้องการบริการสุขภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการสร้างผู้สูงวัยที่แข็งแรงหรือ Active Aging เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจได้”

ขณะที่นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่าจุดอ่อนของสังคมสูงวัยคือภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เนื่องจากประชากรสูงอายุมักป่วย “ติดบ้านติดเตียง”  5 ถึง 10 ปีก่อนเสียชีวิต โดยเป็นโรคติดต่อไม่เรื้อรัง หรือ NCDs เช่น หัวใจ ไต เบาหวาน มะเร็ง ขณะที่เครื่องมือแพทย์และยาแพงขึ้นเรื่อยๆ และยังขาดแคลนแรงงานในการดูแลอีกด้วย ดังนั้นระบบสุขภาพของบ้านเราจึงต้องปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการด้านสุขภาพที่เปลี่ยนไป

“เวลาติดบ้านติดเตียงเราต้องการคนดูแล แต่ประชากรแรงงานลดลง โครงสร้างครอบครัวครัวเปลี่ยนแปลง  ความต้องการผู้ดูแลจึงมากขึ้น ขณะที่ค่าเฉลี่ยเมื่อสองปีที่แล้วพบว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงวัยในเนอสซิ่งโฮมของเอกชนสูงถึง 30,000 บาทต่อเดือน”

ประเทศไทย…ขาดแคลนแพทย์ดูแลผู้สูงอายุ-สมองเสื่อม

ในการเสวนาเรื่อง Geriatric Medicine: Technology and Innovation for Future Challenges หรือ “เทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยเรื่องสุขภาพในอนาคต”  มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสุขภาพผู้สูงอายุจากประเทศไทย สิงคโปร์ และญี่ปุ่นเข้าร่วม โดย ศ.นพ.วีรศักดิ์  เมืองไพศาล จากภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลกล่าวว่า คลื่นสึนามิผู้สูงวัยกำลังโหมกระแทกประเทศไทย โดยในอีก 20 ปี จะมีปัญหามากขึ้นจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับผู้สูงวัยจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น โรคความจำเสื่อม ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนและไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ

ศ.นพ.วีรศักดิ์กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม โดยแบ่งเป็นแพทย์ด้านระบบประสาท ประมาณ 800 คน จิตแพทย์ 400 คน แพทย์สาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ 80 คน แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 8,200 คน ผ่านการอบรมการดูแลผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ 1,000 คน และผ่านการอบรมระยะสั้นประมาณ 7,000 คน โดยบางจังหวัดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเสื่อม 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมประมาณ 10,000 คน เช่น ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบูรณ์ พะเยา กาฬสินธุ์ ชัยนาท และบึงกาฬ

ทั้งนี้ที่ผ่านมาประเทศไทยได้แก้ปัญหาด้วยการจัดอบรมพัฒนาศักยภาพแพทย์เพื่อรองรับผู้ป่วยสูงอายุและสมองเสื่อม ทั้งการอบรมแบบออนไลน์และออนไซต์ การอบรมระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งการฝึกอบรมการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมระยะสั้นแก่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชน ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อม เช่น จัดให้มีระบบฟาสต์แทรคจากสถานบริการปฐมภูมิไปยังโรงพยาบาล การดูแลระยะยาวในชุมชน การดูแลที่บ้าน รวมทั้งการออกแบบบ้านและสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ เช่น โรงพยาบาลศิริราชมีโครงการบ้านปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ โดยมีทีมงานที่ปรึกษาด้านการออกแบบและปรับปรุงบ้านสำหรับผู้สูงอายุ

ศ.นพ.วีรศักดิ์กล่าวว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับผู้สูงอายุที่ภาวะสมองเสื่อมในอนาคตจะประกอบด้วย 1.เทคโนโลยีที่พยากรณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สามารถตรวจการเป็นโรคขั้นเริ่มต้นได้ เช่น การตรวจคัดกรองออนไลน์ เพื่อประเมินอาการเบื้องต้น หรือการใช้เอไอเพื่อวินิจฉัยภาวะโรคสมองเสื่อม  2. การรักษาเฉพาะ (Specific Treatment) เช่น การตรวจหาโปรตีนอะไมลอยด์ซึ่งส่งผลต่อภาวะสมองเสื่อม 3. การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรกับผู้ป่วยสมองเสื่อม (Dementia friendly environment)  เช่น การบำบัดด้วยสัตว์เลี้ยง

สิงคโปร์…เทคโนโลยีดี แต่ยังไม่ครอบคลุม

ผศ.โกเกียตเซิน (Dr.Goh Kiat Sern) หัวหน้าและที่ปรึกษาอาวุโสการแพทย์ผู้สูงอายุ โรงพยาบาลชางฮี  ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของสิงคโปร์เล่าว่าสิงคโปร์จะเป็นสังคมผู้สูงอายุขั้นสูงสุดในปีพ.ศ. 2569 โดยประชากรอายุมากกว่า 65 ปีจะมีสัดส่วนร้อยละ 21 ของประชากรทั้งหมด จากสัดส่วนผู้สูงอายุ 1 ต่อ 6 ของประชากรในปีพ.ศ. 2565 จะเป็น 1 ต่อ 4 ในปีพ.ศ. 2573 และสัดส่วนผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังหรืออยู่ร่วมกับผู้สูงอายุด้วยกันเพิ่มขึ้นเป็น 41% นับจากปีพ.ศ. 2553 และจากสถิติพบว่าผู้สูงอายุมีโอกาสเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงกว่าคนทั่วไป 4 เท่า และระยะเวลาการนอนในโรงพยาบาลสูงกว่า 2 เท่า

ผศ.โกเกียตเซิน กล่าวว่าคนสิงคโปร์มีอายุขัยเฉลี่ย 83.9 ปี ขณะที่อายุสุขภาพดีเฉลี่ย 73.6 ปี  ดังนั้นแม้สิงคโปร์จะได้ชื่อว่ามีระบบสุขภาพดีที่สุดในโลก แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากมีภารกิจต้องเพิ่มอายุเฉลี่ยสุขภาพดีให้สอดคล้องกับอายุขัยเฉลี่ย ดังนั้นรัฐบาลสิงคโปร์จึงมีการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุและการดูแลด้วยนวัตกรรม เช่น การออกแบบระบบสุขภาพและโรงพยาบาลที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ การคัดกรองและดูแลความเสื่อมของร่างกาย รวมทั้งโครงการดูแลผู้สูงอายุที่ล้มสะโพกหัก

จากโครงการ AgeWell SG “สิงคโปร์สูงวัยแข็งแรง” กำหนดให้ขยายจำนวนผู้สูงอายุที่สุขภาพดี ด้วยการเพิ่มจำนวนศูนย์ผู้สูงอายุทั่วเกาะสิงคโปร์ เพื่อเพิ่มโครงการดูแลผู้สูงอายุให้มีกิจกรรมทั้งทางกาย ใจ และสังคม เช่น เพิ่มการออกกำลังกาย ลดจำนวนผู้สูงอายุที่โดดเดี่ยว สร้างระบบอาสาสมัครในผู้สูงอายุ, การสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุที่มีความต้องการพิเศษ ด้วยการจัดระบบการดูแลที่เนอสซิ่งโฮมให้เหมือนที่บ้าน และการจัดระบบการดูแลผู้สูงอายุแบบ “จบ” ในครั้งเดียว เช่น แบบประเมินการรักษาแล้วมีแผนการรักษาและผู้รักษาเพียงหนึ่งเดียว และการจัดสิ่งแวดล้อมที่บ้านให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ เช่น แฟลตที่มีราวจับระหว่างส่วนต่างๆ และพื้นเรียบ การสร้างหมู่บ้านผู้สูงอายุ (Kampung Admiralty) เพื่อให้ผู้สูงอายุอยู่อาศัยอย่างสะดวกแทนการไปอยู่ที่เนอสซิ่งโฮม เป็นต้น

นอกจากนี้หน่วยงานด้านสาธารณสุขของสิงคโปร์ยังกำหนดตัวชี้วัดเกี่ยวกับการรักษาผู้สูงอายุ เช่น ในการรักษาผู้ป่วยสูงอายุหกล้มกระดูกสะโพกแตก จะมีตัวชี้วัดสำคัญ เช่น จำนวนผู้ป่วยที่กลับมาโรงพยาบาลภายใน 30 วัน จำนวนผู้ป่วยที่กลับมาแอดมิทภายใน 30 วัน จำนวนการผ่าตัดที่ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง จำนวนผู้ป่วยเสียชีวิต และจำนวนผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน เป็นต้น

ส่วนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีการพัฒนาและนำมาใช้กับผู้สูงอายุปัจจุบัน เช่น หุ่นยนต์ป้องกันการล้ม (Mobile Robotic Balance Assistant-MRBA) เพื่อตรวจจับการล้ม ประเมินสภาวะและการเคลื่อนไหวของผู้ใช้  ประเมินทิศทางที่ผู้ใช้ต้องการ และตรวจจับการสูญเสียการทรงตัว, เครื่องสร้างมวลกล้ามเนื้อด้วยสนามแม่เหล็ก (Magnetic Muscle Therapy)  เพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุ เป็นต้น

“เราไม่สามารถทำแค่การรักษาเฉพาะโรค แต่เราต้องดูคนไข้ในฐานะองค์รวม รวมทั้งทำงานเชิงป้องกันด้วย” ผศ.โกเกียตเซินกล่าว

ญี่ปุ่น…ใช้เทคโนโลยีเพื่อดูแลผู้สูงอายุทดแทนแรงงาน

ศาสตราจารย์ไทชิ โอโนะ ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาแห่งชาติเพื่อการศึกษานโยบาย ด้านนโยบายสุขภาพ (GRIP)  กล่าวว่า ประชากรผู้สูงอายุและการลดลงของประชากรทั้งหมดเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจและสังคมและกำลังท้าทายญี่ปุ่น รวมถึงการดูแลและการแพทย์เพื่อผู้สูงอายุด้วย เขาบอกว่าโครงสร้างประชากรของประเทศไทยและญี่ปุ่นแตกต่างกัน โดยโครงสร้างประชากรไทยอายุน้อยกว่าคนญี่ปุ่น จึงยังมีประชากรแรงงานมากกว่า ขณะที่ประชากรแรงงานในญี่ปุ่นมีสัดส่วน 1 ต่อ 8 ในปี พ.ศ.2561 และจะเหลือ 1 ต่อ 5 ในปี พ.ศ. 2583 หรือ 15 ปีข้างหน้า และในปี พ.ศ. 2593 หรือ 10 ปีต่อมา ประชากรผู้สูงอายุในเขตเมืองยังคงเพิ่มขึ้น ขณะที่ประชากรหนุ่มสาวคงตัว ส่วนในเขตชนบท แม้แต่คนที่อายุ 65 ปีขึ้นไปก็ลดลงด้วย

ด้วยเหตุนี้รัฐบาลญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งเพื่อแก้ปัญหาแรงงานในการดูแลผู้สูงอายุ และช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น เครื่องยกตัวผู้ป่วย หรือหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยง (Pet robot) เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุไม่โดดเดี่ยว เป็นต้น 

ซึ่งผู้สูงอายุทุกกลุ่มสามารถใช้เทคโนโลยีในการรักษาทางการแพทย์และการดูแลระยะยาวภายใต้โครงการประกันสังคม และรัฐบาลจะสนับสนุนเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมเพื่อให้ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชนใช้เทคโนโลยีมาใช้เพื่อดูแลผู้สูงอายุ

จากการศึกษาผู้ให้บริการสุขภาพทั้งหมดและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบอยู่อาศัยพบว่าเทคโนโลยีเพื่อการดูแลที่ใช้แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มเทคโนโลยีเซนเซอร์เพื่อเฝ้าระวังภายในห้อง (Monitoring sensor) และอุปกรณ์ไอซีทีอื่นๆ โดยอุปกรณ์ที่ใช้มากที่สุดคือเตียงเซนเซอร์  อุปกรณ์เชื่อมต่อไวไฟ และปุ่มไวไฟกดเรียกพยาบาล โดยเทคโนโลยีที่ใช้ช่วยลดภาระงานสำหรับผู้ให้บริการทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน และปรับปรุงคุณภาพการดูแลตามลำดับ

ข้อจำกัดเทคโนโลยี…ค่าใช้จ่ายสูงและไฮเทคแต่ไม่ไฮทัช

มีคำกล่าวว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมการดูแลสุขภาพที่ดีต้องตอบโจทย์ทั้งเรื่องไฮเทคและไฮทัช กล่าวคือต้องตอบโจทย์เรื่องประโยชน์ใช้สอยและดูแลจิตใจผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่สภาพจิตใจเปราะบางและโดดเดี่ยวด้วย  ต่อกรณีนี้ ดร.ไทชิกล่าวว่าการใช้เทคโนโลยีมีประสิทธิภาพในบางมุม แต่ไม่สามารถแทนที่ได้การดูแลด้วยมนุษย์ได้

 
สำหรับผู้สูงอายุเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ได้ยาก อาจเป็นออนไลน์วิดีโอคุยกัน แต่ไม่สามารถแทนที่อารมณ์หรือความรู้สึกใกล้ชิดกับผู้คนได้ นอกจากนี้คนวัยแปดสิบปียังไม่ถนัดใช้เครื่องมือใหม่ๆ แต่ก็ยังมีมุมมองบวกว่าคนอายุหกสิบจะปรับตัวได้

ด้าน ศ.ดร.วีรศักดิ์ ให้ความเห็นว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมไม่ได้หมายถึงดิจิตอลหรือเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงระบบสุขภาพด้วย โดยบริการใหม่ๆ ในระบบสุขภาพ เพื่อทำให้การดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพภายใต้งบประมาณและบุคลากรที่จำกัด หรือสามารถใช้ได้ทุกที่ ก็สามารถเรียกว่านวัตกรรมได้เช่นกัน เช่น ระบบการดูแลที่บ้าน หรือ Home Intermediate Care ที่ประเทศไทยดำเนินการอยู่ หรือโครงการดูแลผู้ป่วยแบบทางไกล Remote Care Project ที่โรงพยาบาลศิริราชกำลังดำเนินการอยู่ก็เรียกว่านวัตกรรมได้เช่นกัน

ปิดท้ายด้วยคำกล่าวของ ผศ.โกเกียตเซิน เขาบอกว่าแม้การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในสิงคโปร์จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ถือเป็นการรักษากระแสหลัก และยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี เนื่องจากรัฐบาลต้องคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมด้วย