ระบบการดูแลผู้สูงอายุป่วยระยะท้าย ในประเทศไทยและสิงคโปร์
กรณีศึกษา โรงพยาบาลรามาธิบดี ประเทศไทย และโรงพยาบาลชางงี สิงคโปร์
โดย ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
โดย ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
สิงคโปร์กำลังจะก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุขั้นสูง” (Super-aged Society) ที่ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 หรือ 1ใน 4 ของประชากรทั้งหมดเร็วๆ นี้ ส่วนประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุขั้นสมบูรณ์แล้วในปีนี้ (พ.ศ.2568) สิ่งที่วงการสาธารณสุขของทั้งสองประเทศต้องจัดเตรียมคือระบบที่รับมือกับความเจ็บป่วยระยะท้ายของผู้สูงอายุ
การประชุมวิชาการ เรื่องการดูแลแบบประคับประคองและระยะท้าย: ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (Palliative and End-of-Life : care center for elderly) ในมหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุระดับชาติครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 22-24 มกราคม 2568 มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในสูงอายุ กรณีศึกษาโรงพยาบาลรามาธิบดี ประเทศไทย และโรงพยาบาลชางงี ประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอ “ชุมชนกรุณา” ในฐานะส่วนหนึ่งของการดูแลแบบประคับประคอง โดย กลุ่ม Peaceful Death
โรงพยาบาลรามาธิบดี…
“เราจะอยู่เคียงข้างทุกการเดินทาง และดูแลทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยและญาติ”
พญ.จินตนา อาศนะเสน จากศูนย์การดูแลแบบประคับประคอง โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่าการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายต้องคำนึงถึงแนวโน้มของโรค มาตรฐานการประเมินสุขภาพ และแนวทางการดูแลที่เหมาะสม ทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้าน โดยเน้นให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิต
ทั้งนี้ทางการแพทย์แบ่งแนวโน้มของโรคในผู้ป่วยระยะท้าย เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยที่มีอวัยวะล้มเหลวเรื้อรัง เช่น หัวใจล้มเหลว ไตวาย โรคปอดเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมอง และผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีรูปแบบการทรุดตัวของสุขภาพที่แตกต่างกัน
“โรคมะเร็ง ผู้ป่วยมักแสดงอาการทรุดลงแบบค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายเดือนถึงหลายปี ผู้ป่วยอาจเคยผ่านการรักษาแบบต่างๆ เช่น การผ่าตัด การทำเคมีบำบัด การฉายรังสี แต่เมื่อโรคเข้าสู่ระยะสุดท้าย การรักษาไม่ได้ผล ผู้ป่วยจะมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนก่อนเสียชีวิต ส่วนกลุ่มโรคเรื้อรัง สุขภาพจะทรุดลงเป็นระยะ โดยมีช่วงที่อาการแย่ลงและต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู หลังจากได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจมีอาการดีขึ้นชั่วคราว แต่สุขภาพโดยรวมจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ส่วนโรคสมองเสื่อม จะมีการเสื่อมถอยของสมองอย่างต่อเนื่องและยาวนาน (อาจนานถึง 5-10 ปี) ผู้ป่วยจะค่อย ๆ สูญเสียความสามารถในการช่วยเหลือตัวเอง จนต้องพึ่งพาผู้อื่นโดยสมบูรณ์ และมักมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ การขาดสารอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด”
ทั้งนี้ในทางการแพทย์มีเครื่องมือประเมินสมรรถภาพของผู้ป่วย เพื่อสามารถช่วยคาดการณ์ระยะเวลาการรอดชีวิต และวางแผนการดูแลแบบประคับประคองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Palliative Performance Scale (PPS) เป็นมาตรวัดสมรรถนะของผู้ป่วยระยะท้าย โดยคะแนน 100 หมายถึงสุขภาพสมบูรณ์ และ 0 หมายถึงเสียชีวิต ผู้ป่วยมะเร็งที่มี PPS ต่ำกว่า 30 มักมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือนหาก PPS อยู่ที่ 10 จะมีอัตราการรอดชีวิตต่ำมาก
ส่วน Clinical Frailty Scale (CFS) เป็นมาตรวัดระดับความเปราะบางของร่างกาย คะแนน 1-9 โดยคะแนนที่สูงขึ้น แสดงถึงความอ่อนแอที่มากขึ้น โดยสามารถคาดการณ์อัตราการเสียชีวิตภายใน 1 ปีได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ป่วยไอซียู หากคะแนน CFS มากกว่า 5 ถือว่าอยู่ในภาวะ “เปราะบางปานกลางถึงรุนแรง” ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต และ Functional Assessment Staging (FAST Scale) ใช้ประเมินระยะของภาวะสมองเสื่อม โดยสามารถติดตามการเสื่อมของความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะท้าย มักไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้และมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
การวางแผนสุขภาพล่วงหน้า “เข็มทิศชีวิต” ผู้ป่วยระยะท้าย
พญ.จินตนากล่าวว่า โรงพยาบาลรามาธิบดีมีบริการการดูแลแบบประคับประคอง ทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้าน โดยมีทีมดูแลแบบประคับประคองที่ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ และนักดนตรีบำบัด ส่วนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้านมีบริการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์และวิดีโอคอลตลอด 24 ชั่วโมง มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เช่า ปัจจุบันแผนกดูแลแบบประคับประคอง โรงพยาบาลรามาธิบดี (RPU) มีเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยระยะท้าย 6 เตียง

ทั้งนี้การวางแผนสุขภาพล่วงหน้า (Advance Care Planning:ACP) คือขั้นตอนและเครื่องมือสำคัญในการดูแลแบบประคับประคอง ด้วยกระบวนการเพื่อวางแผนเกี่ยวกับการรักษาในระยะท้าย ที่แพทย์จะแจ้งให้ผู้ป่วยทราบเกี่ยวกับการพยากรณ์โรค อาการของโรค และคุณค่าและความต้องการของผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาตามความต้องการของผู้ป่วย “ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง” ไม่ใช่ แพทย์เป็นศูนย์กลาง” “ผ่านการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า โดยผู้ป่วยสามารถปรับปรุง ACP ทุกช่วงของการเจ็บป่วยตาม โดย ACP จะมีส่วนสำคัญในการรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อาการหนัก เพื่อลดช่วงเวลาการอยู่ในโรงพยาบาลในช่วงระยะท้าย โดยมีคุณภาพชีวิตมากกว่าปริมาณชีวิตที่เหลืออยู่
“ผู้ป่วยสามารถเลือกได้ว่าจะเสียชีวิตที่ไหน จะอยู่กับใคร และได้รับการรักษาที่เหมาะสม คนไข้ที่ระบุว่า “ห้ามปั๊มหัวใจ” ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้การดูแล แต่เป็นการหลีกเลี่ยงการทำซีพีอาร์ ที่อาจก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็น ทีมแพทย์จะยังคงให้การรักษาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและให้คุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วย”
พญ.จินตนากล่าวว่า ศูนย์การดูแลแบบประคับประคอง โรงพยาบาลรามาธิบดี บริการให้คำปรึกษาแบบประคับประคอง กระบวนการพูดคุยเกี่ยวกับการตัดสินใจในระยะท้ายของชีวิต และทำตามความปรารถนาของผู้ป่วย “ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง” แม้ว่าจะเป็นความต้องการที่เป็นไปได้ยากในโรงพยาบาลทั่วไป
“เราใช้ความต้องการของผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางจริงๆ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่นับถือศาสนาพุทธต้องการพบพระและทำสังฆทาน พ่อคนหนึ่งอยากเข้าร่วมพิธีรับปริญญาของลูกชาย เราก็จัดการให้ เขาเสียชีวิตในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ส่วนคนไข้อีกคนหนึ่งมีความต้องการสุดท้ายคือไปร่วมงานแต่งของลูกสาวคนเล็ก เราจัดงานแต่งงานให้ที่วอร์ดอย่างรวดเร็ว แล้วคุณพ่อก็เสียชีวิตในสัปดาห์ต่อมา หรือหลานสาวเปิดเพลงบุพเพสันนิวาสซึ่งเป็นละครเรื่องโปรดให้คุณยายฟัง ถือเป็นเพลงสุดท้ายในชีวิต“

พญ.จินตนาสรุปว่า การดูแลแบบประคับประคองเป็นเหมือนเข็มทิศที่ช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวรอดพ้นจากการหลงทางใน การรักษาทางการแพทย์ และทำให้เข้าใจความจริงของชีวิต โดยทำหน้าที่เป็น “เพื่อน” ที่ช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างตลอดการเดินทาง โดยดูแลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดูแลในฐานะคนไข้และสมาชิกของครอบครัว ด้วยสโลแกน “ให้การรักษาบางเวลา อยู่ด้วยตลอดเวลา ทำให้สะดวกสบายทุกเวลา“
“คุณจะเลือกอยู่กับใครในวันสุดท้ายของชีวิต คงไม่ใช่เจ้าหน้าที่ แต่เป็นคนที่คุณรัก อาจเป็นการจับมือภรรยาที่แต่งงานมาหกสิบปี หรือหลานสาวคนโปรด หรือแค่แมวตัวโปรด ที่เป็นเพื่อนคนสุดท้ายในชีวิต ในลมหายใจสุดท้ายของเขา นอกจากนี้การตายดียังทำให้การโศกเศร้ามีความหมายทางใจที่ลึกซึ้งต่อผู้ดูแล จนมีข้อความขอบคุณถึงทีมงานว่า “เป็นการพิสูจน์การตายไม่น่ากลัวอีกต่อไป ถ้าเราเข้าใจ” พญ.จินตนากล่าว
พญ. ออง คิง เจน (Dr.Ong King Jane)จากโรงพยาบาลชางงี (Changi General Hospital) ในสิงคโปร์ กล่าวว่าการดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยระยะท้ายอยู่ภายใต้แผนกเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ของโรงพยาบาลชางงี โดยมีบริการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ปัจจุบันทีมดูแลประกอบด้วยแพทย์ที่ปรึกษา 3 คน แพทย์ประจำบ้าน 6 คน แบ่งออกเป็น 3 ทีม พยาบาลวิชาชีพ และนักสังคมสงเคราะห์ โดยให้บริการผู้ป่วยทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้าน มีคนไข้ที่ส่งต่อจากแผนกต่าง ๆ ในโรงพยาบาล วันละประมาณ 100 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยมะเร็ง ร้อยละ 60 และผู้ป่วยที่ไม่ใช่มะเร็งร้อยละ 40

ทั้งนี้งานหลักของทีมดูแลแบบประคับประคอง คือการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในโรงพยาบาล และรับเคสส่งต่อจากแผนกต่าง ๆ, ให้คำปรึกษาและออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยที่บ้าน รวมถึงบ้านพักผู้สูงอายุ, มีคลินิกเฉพาะทางสำหรับผู้ป่วยระยะท้าย, ช่วยเหลือในการจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน เพื่อให้เสียชีวิตที่บ้านหรือบ้านพักผู้สูงอายุ (compassionate discharge) และการประสานงานกับองค์กรดูแลแบบประคับประคอง เช่น โรงพยาบาลชุมชนเซนต์แอนดรู (St. Andrews Community Hospital) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาลชางงี
แพทย์หญิงเจนกล่าวว่า สิงคโปร์กำลังเข้าสู่ภาวะ “สังคมผู้สูงอายุขั้นสูง” (Super-aged Society) โดยคาดว่าในปี พ.ศ. 2573 (2030) ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 หรือ 1ใน 4 ของประชากรทั้งหมด ปัจจุบันโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลัก ได้แก่ มะเร็ง ปอดอักเสบ โรคหัวใจและหลอดเลือด และผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองมี 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งร้อยละ 60 และกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ใช่มะเร็งร้อยละ 40 เช่น โรคหัวใจล้มเหลว โรคปอดเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะสมองเสื่อม
ทั้งนี้การดูแลแบบประคับประคองในสิงคโปร์มีเป้าหมายหลักเพื่อผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในช่วงท้าย ลดความทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ และให้การดูแลที่สอดคล้องกับความต้องการและคุณค่าของผู้ป่วย โดยจัดให้มีการวางแผนการรักษาล่วงหน้า การช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปเสียชีวิตที่บ้านหรือบ้านพักผู้สูงอายุ ตามความประสงค์ของผู้ป่วยและญาติ โดยทีมดูแลแบบประคับประคองของสิงคโปร์ให้บริการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ผ่านสายด่วน 24 ชั่วโมง การให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชัน LINE การให้เช่าอุปกรณ์การแพทย์ เช่น เครื่องผลิตออกซิเจน เตียงสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย การสอนการดูแลผู้ป่วยให้แก่ครอบครัว เช่น การจัดการอาการทางกาย การใช้ยา และการดูแลด้านอารมณ์ เป็นต้น
ในปี พ.ศ.2557 มูลนิธิ Lien ในสิงคโปร์สำรวจพบว่า ร้อยละ 77 ของผู้ป่วยต้องการเสียชีวิตที่บ้าน แต่ในปี พ.ศ. 2563 พบว่าคนสิงคโปร์ร้อยละ 61 เสียชีวิตในโรงพยาบาล ดังนั้นรัฐบาลสิงคโปร์จึงมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลจากร้อยละ 61 เป็นร้อยละ 51 ภายในปี 2570 โดยการส่งเสริมการดูแลแบบประคับประคองที่บ้าน และให้การสนับสนุนผู้ดูแลที่บ้านมากขึ้น
ทั้งนี้สภาบ้านพักผู้ป่วยระยะท้ายสิงคโปร์ (Singapore Hospice Council) ได้สร้างเว็บไซต์ที่มีแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ดูแลและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงผู้ป่วยทั่วไป ส่วนโรงพยาบาลชางงีจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยระยะท้ายที่เข้าใจง่ายเผยแพร่ทั้งในอินเตอร์เน็ตและอินทราเน็ตของโรงพยาบาล ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งเสริมการดูแลแบบประคับประคองมากขึ้น ผ่านโครงการ “กลับบ้านด้วยความกรุณา” (Compassionate Discharge) สำหรับผู้ป่วยระยะท้ายที่ต้องการกลับไปเสียชีวิตที่บ้านหรือบ้านพักผู้สูงอายุ

ในสิงคโปร์มีการสร้างศูนย์ดูแลประคับประคองในชุมชนที่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัว โดยให้บริการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บริการทางการแพทย์ที่บ้าน การช่วยเหลือทางด้านจิตใจและสังคม รวมถึงการช่วยเหลือทางกายภาพ เช่น การพยาบาล การทำกายภาพบำบัด และการให้คำปรึกษาทางจิตใจทั้งแก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล เช่น การใช้ยาแบบฉีด โดยมีภาพประกอบที่เข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้ผู้ดูแลสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
“ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่จากทีมดูแลที่ประกอบด้วยพยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ นักบำบัด และผู้ให้คำปรึกษาทางจิตใจ มีการให้บริการทางโทรศัพท์ 24 ชั่วโมงเพื่อคำแนะนำหรือช่วยเหลือที่จำเป็น นอกจากนี้ยังมีบริการช่วงกลางวัน ( Daycare) สำหรับผู้ป่วยที่สามารถเข้าไปทำรับบริการในศูนย์พยาบาลได้ รวมทั้งมีโครงการดูแลผู้สูงอายุ “Elder Care” ที่มุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยในบ้านพักผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรังหรือป่วยระยะท้าย ซึ่งโครงการนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถได้รับการดูแลที่บ้านพักผู้สูงอายุจนถึงช่วงท้ายของชีวิตได้”
ส่วนโครงการเยี่ยมบ้าน ViP (Violet Program) เริ่มขึ้นในปี 2563 โดยโรงพยาบาลชุมชนเซนต์แอนดรู รับดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะอวัยวะเสื่อมและสมองเสื่อมและมีชีวิตเหลือประมาณหนึ่งปีจากโรงพยาบาลชางงี และต้องการรักษาที่บ้าน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบายที่สุด เพื่อป้องกันการเข้าโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น และรับผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลทั้งผู้ป่วยมะเร็งและไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็งในโครงการ
“กลับบ้านด้วยความกรุณา”
ผู้ที่เข้าในโครงการนี้จะได้รับการดูแลโดยพยาบาล ภายใต้การสนับสนุนของแพทย์เฉพาะทางด้านการดูแลแบบประคับประคองและสหวิชาชีพอื่นๆ รวมทั้งที่ปรึกษาด้านจิตใจ มีการบริการดูแลอาการตลอด 24 ชั่วโมง โครงการนี้ได้รับรางวัลทีมงานที่ดีที่สุดจากรัฐบาลสิงคโปร์ในปีพ.ศ. 2565
นอกจากนี้ยังมีโครงการ EAGLEcare (อีเกิลแคร์) ซึ่งเป็นโครงการยกระดับการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า การดูแลผู้สูงอายุ และการดูแลระยะท้ายในพื้นที่ภาคตะวันออกของสิงคโปร์ เริ่มต้นขึ้นในปีพ.ศ. 2558 โดยแผนกดูแลผู้สูงอายุโรงพยาบาลชางงี สำหรับศูนย์ผู้สูงอายุหรือเนอร์สซิ่งโฮมบริเวณใกล้เคียงโรงพยาบาล จำนวน 16 แห่ง ที่ให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งโรงพยาบาลจะได้รับค่าใช้จ่ายจากกระทรวงสาธารณสุข และทำงานร่วมกับโรงพยาบาลชุมชนเซนต์แอนดรูและแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป มีเป้าหมายเพื่อฝึกและสนับสนุนศูนย์พยาบาลต่างๆ เรื่องการทำแผนสุขภาพล่วงหน้า และการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะท้าย
ทั้งนี้ระหว่างปี 2563 ถึง 2565 โครงการนี้ได้ฝึกอบรมการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า การดูแลผู้สูงอายุและการดูแลระยะท้าย ให้แก่เจ้าหน้าที่ในเนอร์สซิ่งโฮม 500 คน มีผู้ป่วยในเนอร์สซิ่งโฮมเข้าร่วมโครงการ 500 คน และผู้ป่วยที่เข้าร่มโครงการร้อยละ 91 เสียชีวิตในที่เนอร์สซิ่งโฮมตามเจตนารมย์ของผู้ป่วย
แพทย์หญิงเจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่า การดูแลผู้ป่วยสูงอายุระยะท้ายในสิงคโปร์ต้องดูแลครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจและเศรษฐสังคม เช่น ทีมดูแลต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว เนื่องจากบางครั้งผู้ที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาอาจไม่ใช่ผู้ดูแลหลัก ผู้ตัดสินใจหลักในครอบครัวอาจเป็นผู้ที่รับผิดชอบการเงินหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและความสัมพันธ์ภายในครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การตัดสินใจสามารถทำได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว
“วัฒนธรรมแบบเอเชียในไทยและสิงคโปร์มีความเหมือนกันคือ การพิจารณาว่าจะสื่อสารกับคนไข้หรือครอบครัว เราต้องดูแผนผังครอบครัวว่าใครคือผู้ดูแลด้านค่าใช้จ่าย ผู้ป่วยอยู่อาศัยกับใคร และใครคือผู้ดูแลหลัก รวมทั้งดูประเด็นทางสังคมด้วยเช่น ผู้ป่วยนับถือศาสนาอะไร อารมณ์ความรู้สึกเป็นอย่างไร และมีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร”
ส่วนวัฒนธรรมของชาวพุทธที่สิงคโปร์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยากเสียชีวิตอย่างสงบ ทีมดูแลแบบประคับประคองจึงให้ความสำคัญกับการดูแลด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เช่น ให้ผู้ป่วยได้ฟังธรรมะหรือดนตรีบำบัด จัดห้องพักให้เงียบสงบเพื่อให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างสงบ และให้โอกาสผู้ป่วยและครอบครัวได้กล่าวคำอำลาและขอขมากัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยทีมสนับสนุนที่หลากหลาย
แพทย์หญิงเจนกล่าวสรุปว่า การพัฒนาและส่งเสริมการดูแลแบบประคับประคองในสิงคโปร์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และมีการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ให้สามารถดูแลผู้ป่วยในช่วงปลายชีวิตได้อย่างเหมาะสม โดยมีการนำระบบประเมินผลจากกระทรวงสาธารณสุขมาใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุดตามความต้องการของผู้ป่วย ซึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระบบการดูแลสุขภาพของสิงคโปร์
“ในปีพ.ศ. 2553 สิงคโปร์จัดอยู่ในอันดับที่ 18 ของดัชนีการตายดี (The Quality of Death Index) ของโลก ในปีพ.ศ. 2554 กระทรวงสาธารณสุขตั้งทีมงานเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง โดยกำหนดแนวทางระดับชาติเพื่อการดูแลแบบประคับประคอง ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก 13 แนวทาง เพื่อพัฒนามาตรฐานการดูแลแบบประคับประคอง โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลแบบประคับประคองให้สูงขึ้น และปีพ.ศ. 2558 สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 2 ของเอเชียรองจากไต้หวัน และอันดับที่ 12 ของโลก” แพทย์หญิงเจนกล่าวสรุป
ชุมชนกรุณา Peaceful Death…ระบบชีวาภิบาล “นอกโรงพยาบาล”
ในการเสวนาครั้งนี้มีการพูดถึงแนวคิดการสร้างชุมชนกรุณา ในฐานะส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการดูแลและประคับประคอง หรือชีวาภิบาล ซึ่งเป็นการเน้นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันในชุมชน เพื่อให้สามารถจัดการดูแลผู้ป่วยในขั้นตอนสุดท้ายของชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในแง่ของการสร้างความตระหนักรู้และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลความความกรุณาและมีการสนับสนุนจากทุกฝ่ายในสังคม

เอกภพ สิทธิวัฒนะ ผู้จัดการฝ่ายข้อมูล มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา หรือกลุ่ม peaceful Death ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 กล่าวว่า ชุมชนกรุณาหมายถึงชุมชนที่ทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบ โดยเป็นทั้งชุมชนที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทำหน้าที่กระตุ้น อำนวย และจัดให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
เขากล่าวว่าชุมชนกรุณา Peaceful Death สร้างประโยชน์ 3 ประการคือ 1) เป็นพันธมิตร เพื่อชวนคนและครอบครัวมาเข้าร่วม ในการเปลี่ยนทัศนคติต่อความตายและการดูแลระยะท้าย โดยทำงานกับกลุ่มคนที่เผชิญความยากลำบากในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย 2) เสริมพลังประชาชน รวมทั้งคนเปราะบางกลุ่มต่างๆ เช่น การทำงานในเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์และขอนแก่น โดยฝึกจิตอาสาดูแลผู้ป่วยในเรือนจำ ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถนำไปใช้หลังจากออกจากเรือนจำแล้วกลับสู่ชุมชน และ 3) สร้างการตระหนักรู้ต่อสาธารณะ เช่น กิจกรรม “30 วินาทีสุดท้ายของชีวิตก่อนตาย คุณเห็นภาพอะไร”
“เราอำนวยความสะดวกในการสร้างและประสานงานผู้ดูแลและเครือข่ายในชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนเครือข่าย ทรัพยากร และความรู้ในชุมชน” เอกภพกล่าว และบอกว่าชุมชนกรุณาเกิดขึ้นเพื่อเสริมหรือปิดช่องว่างระบบการดูแลแบบประคับประคองของระบบสุขภาพหลัก เช่น นโยบายชีวภิบาล ที่ส่งเสริมให้เกิดบ้านชีวาภิบาล กุฎิชีวาภิบาล และสถานชีวาภิบาลหรือเนอร์สซิ่งโฮมที่ได้มาตรฐาน ที่ผู้สูงอายุทุกคนมี ACP ก่อนออกไปจากเนิร์สซิ่งโฮม
ส่วนชุมชนพะตง จังหวัดสงขลา เป็นชุมชนที่ออกแบบแอพพลิเคชั่น “พะตงสมาร์ทแคร” เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการเดินทาง ไปโรงพยาบาล และมีการรวมตัวเพื่อพัฒนา จิตอาสา ผู้ดูแล (caregiver )และ อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) และยังมีโครงการนำเยาวชนและคนทุกกลุ่มในชุมชนมาร่วมดูแลผู้สูงอายุ โดยฝึกนักเรียนให้รู้จักการพยากรณ์ความเสี่ยงการล้มในผู้สูงอายุ และฝึกเรื่องการดูแลให้ “ปลอดล้ม” ซึ่งนักเรียนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลผู้สูงอายุด้วยให้กระบวนกรชุมชนพูดคุยเรื่องความโศกเศร้า รวมทั้งมีโครงการขับเคลื่อนและกระตุ้นชุมชนให้ความรู้เกี่ยวกับการป่วยระยะท้าย เช่น Happy Death Day หรือ Death Fest เป็นต้น
“เราทุกคนมีสิทธิ์เลือกว่าจะตายอย่างไร และวาระสุดท้ายของชีวิตเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ขณะที่ประเทศไทยมีขนาดใหญ่ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความเชื่อ การมีชุมชนกรุณาจะช่วยตอบโจทย์เฉพาะชุมชนนั้นๆ รวมทั้งสามารถสร้างการตระหนักรู้และให้ข้อมูลแก่คนในชุมชนได้อีกด้วย” เอกภพสรุป
การเสวนานี้ได้ข้อสรุปว่า แม้รูปแบบการดูแลแบบประคับประคองในผู้สูงอายุจะแตกต่างกันตามบริบทของแต่ละประเทศ แต่หัวใจของการดูแลแบบประคับประคองที่มีร่วมกันคือการ ทำให้ผู้สูงอายุที่ป่วยระยะท้ายมีคุณภาพชีวิตที่ดี ท่ามกลางสถานที่และผู้คนและวิธีการรักษาที่ผู้ป่วย “เลือกเอง” โดยได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง