เหมือนทุกคนที่รออยู่หน้าห้องนั้น ใจจดจ่อและตาจดจ้องในสิ่งเดียวกัน รอเวลาที่ประตูจะเปิด 5 นาทีช่างยาวนานเหมือน 50 นาที ฉันเหลือบดูนาฬิกา ยังพอมีเวลาไปซื้อกาแฟสักแก้วหลังอาหารเที่ยง ฉันกลับมาในอีก 20นาที ห้องรวมนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้ป่วยที่มีญาติมาป้อนข้าวป้อนน้ำ อาการแต่ละคนคงหนักเอาการ เพราะสีหน้าญาติๆเต็มไปด้วยความกังวล แล้วเธอคนนั้นอยู่ตรงไหนนะ ไม่มีเจ้าหน้าที่ให้ถามในบริเวณนั้น ดูแน่นขนัดไปด้วยญาติมิตร ตาที่สอดส่ายของฉันก็หยุดลงตรงหน้าชายร่างเล็ก ผิวคล้ำ สายตาเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ท่าทางอิดโรย ฉันรีบเข้าไปทัก “พี่ชัยสามีพี่รีใช่ไหมคะ” เขาพยักหน้า “พี่รีเป็นไงบ้าง ฉันเพิ่งกลับจากรุงเทพ และได้ข่าวว่าพี่รีล้มเมื่อ 2 วันก่อน เลยรีบมา” ฉันถามอย่างคนใคร่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ CG ที่ขยันมากในสายตาของฉัน เขาตอบพร้อมส่ายหัวอย่างช้าๆว่า “ยังไม่ฟื้นเลย ออกจากห้องผ่าตัดเมื่อวาน” ดูเหมือนเขาไม่อยากพูดต่อ พอดีลูกชายคนเดียวของเขาเดินเข้ามา ฉันเลยแนะนำตัวเอง น้องเต้ยเล่าให้ฟังว่า แม่ตื่นเช้าตี 4 มาเตรียมอาหารเช้าให้เหมือนเคย จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียง โครม …เขาจึงรีบตื่นมาดู เห็นแม่ล้มที่พื้น น้ำลายฟูมปาก หมดสติ จึงรีบนำส่งห้องฉุกเฉินเพื่อผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออก แม่เพิ่งออกมาพักฟื้นที่ห้องนี้ครับ
ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้ยินข่าวว่าพี่รีเข้าโรงพยาบาลจากผู้นำชุมชน ฉันฟังผิดหรือเขาพูดผิด ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าเป็นพี่ชัย เพราะหมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อีก 6 เดือน คนที่นอนอยู่ตรงหน้าฉันไม่เหมือนพี่รีที่ฉันรู้จัก กะโหลกศีรษะยุบไปเกือบครึ่งเพราะการผ่าตัดสมอง นอนไม่ตื่นมาหลายวันแล้ว มีเครื่องช่วยหายใจพยุงชีวิต ฉันคิดแล้วไม่อยากจะเชื่อเลย คนที่ควรอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นพี่ชัยไม่ใช่หรือ
ฉันหวนคิดถึงตอนที่เราประสานงานจัดอบรมสมุดเบาใจให้ผู้สูงอายุและครอบครัวในชุมชนหน้ารพ.โรงพยาบาล จำได้ว่าหัวหน้าชุมชนบอกว่าพี่รีน่าจะเหมาะที่สุดในการเป็นแม่งานนี้ หลังจากแนะนำให้รู้จักกัน ใช่ ฉันเห็นด้วยเพราะพี่รีมีความรู้เรื่องการดูแลแบบประคับประคองดีมาก รู้จักพินัยกรรมชีวิต ฉันจึงซักถามด้วยความใคร่รู้ว่าเธอได้ความรู้นี้จากไหน ฉันแน่ใจว่าเธอไม่ใช่คนในวัยที่เรียนรู้จากสื่อออนไลน์
“คุณหมอแผนกประคับประคองเรียกพี่และครอบครัวทำ Family meeting เกือบ 10 รอบแล้ว สามีเป็นมะเร็งระยะท้าย หมอบอกแพร่กระจายหมดแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนแนวการรักษาเป็นประคับประคอง ไม่ต้องให้เคมีละ เพราะไม่ได้ผล เจ็บตัวเปล่าๆ อาจอยู่ได้อีกไม่ถึง 6 เดือนให้เตรียมใจ” “แล้วพี่รู้สึกยังไงคะ เล่าให้ฟังได้ไหมคะว่าคุณหมอให้ทำยังไงต่อถ้าไม่ให้ยาแล้ว” ฉันถามต่อเพื่อให้แน่ใจว่าเธอเข้าใจจริง ๆ และการตัดสินใจนั้นเป็นของผู้ป่วยและครอบครัวร่วมกันจริง “ครอบครัวเราและผู้ป่วยยอมรับได้ ตอนแรกก็รับไม่ได้ คุณหมอเลยเรียกคุยหลายรอบ อธิบายว่าเคมีบำบัดไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว มีแต่จะทำให้ผู้ป่วยคุณภาพชีวิตไม่ดี” เธอตอบอย่างซื่อตรง ไม่ได้แสดงอารมณ์เสียใจ ช่างเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ฉันคิด… และเธอก็ขอตัวเพื่อไปเยี่ยมเคสอื่น ๆ ต่อ เนื่องจากต้องดูแลชุมชนอื่นด้วย ขณะที่สีหน้ายังคงอิดโรย ท่าทางเหน็ดเหนื่อย “เธอเป็น CG ที่ขยัน รับผิดชอบ ชอบช่วยเหลือทุกคน” นี่เป็นคำบอกเล่าของประธานชุมชนนั้น
และแล้ววันอบรมก็มาถึง เธอมาถึงก่อนใคร พร้อมด้วยชายร่างเล็กผิวคล้ำ “คุณคะ นี่พี่ชัยสามีที่เล่าให้ฟัง” แวบแรกที่มอง นี่เหรอผู้ป่วยระยะท้าย เขาดูร่าเริงสดใส ยิ้มกว้าง ผู้หญิงที่ยืนข้างๆกลับดูเหมือนผู้ป่วยมากกว่า ฉันเลยขออนุญาตที่จะถามถึงอาการป่วย เขาบอกตอนนี้แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่ต้องให้ยาแล้ว “แล้วพี่ทำอะไรบ้างคะ ในแต่ละวัน” ฉันถาม เขาเล่าว่า “ทุกวันจะเก็บผักบุ้ง ตกปลามาฝากขายหน้าบ้านคนรู้จักในชุมชนนี้ ก็ขายหมดทุกวันนะ หมอบอกอยากทำอะไรก็ให้รีบทำ ผมไม่คิดอะไรมากแล้ว ทำใจให้สบาย ไม่มีอะไรที่น่าห่วงกังวล” อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เองที่เขาบอกว่าคนที่มีความสุขคือคนที่ไม่มีอะไรที่ห่วงกังวล ปล่อยวางภาระ เพื่อเตรียมตัวเดินทางไกลที่ไม่มีวันรู้ว่าเป็นวันไหนแน่นอน แต่ทุกคนต้องเดินทางเส้นนี้ เพียงแต่เราจะเดินทางแบบสบายตัวเพราะได้วางแผนมาการเดินทางมาอย่างดีแล้ว หรือจะเดินทางแบบไม่พร้อม ฉุกละหุก หนักอึ้งด้วยสัมภาระรกรุงรัง
หัวข้ออบรมวันนี้ก็เกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวออกเดินทางนี่แหละ ผู้สูงอายุในชุมชนพร้อมผู้ดูแลก็เริ่มทยอยเข้ามาลงทะเบียน พี่รีสามารถประสานชุมชนได้ดีทีเดียว มีผู้เข้าร่วมเกือบ 40 กว่าคน ตอนเล่นไพ่ไขชีวิตก็สนุกสนานดี แต่พอถึงตอนถามความสมัครใจว่าใครพร้อมจะเขียน หลังจากอธิบายว่าสมุดเบาใจคืออะไร เขียนเพื่ออะไร และมีผลทางกฎหมายอย่างไร หลายคนเริ่มทยอยกลับ โดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานพากลับ เพราะกลัวพ่อแม่จะว่าพามาแช่งตัวเองหรือลูกหลานยังยอมรับความสูญเสียไม่ได้ แต่มี 3 คนที่พร้อมจะให้เรานำเขียนทุกหน้า เผื่อว่ามีอะไรไม่เข้าใจจะได้ถามเลย แน่นอนว่าพี่รีกับพี่ชัยตั้งใจที่จะเขียนพินัยกรรมชีวิตเล่มนี้มาก ๆ เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่พี่ชัยต้องการจะได้รับการตอบสนองแน่นอนจากทีมสุขภาพ ส่วนอีกท่านเป็นครูเกษียณที่กระตือรือร้นในการเขียนมาก หลังเขียนเสร็จแล้ว เราก็บอกให้เอาสมุดกลับไปบ้านเพื่อให้ครอบครัวหรือผู้สื่อสารเจตนาแทนได้รับรู้และยอมรับเจตนาของท่าน หลังจากนั้นถ่ายสำเนาเฉพาะหน้า 6-7 ไปยื่นที่โรงพยาบาลที่ท่านสังกัด เพื่อเก็บไว้ในแฟ้มประวัติเวชระเบียน ถ่ายสำเนาอีกชุดให้ครอบครัวหรือผู้สื่อสารเจตนาแทน ส่วนสมุดเบาใจฉบับจริง ให้เก็บไว้กับตัวท่านเอง
หนึ่งวันถัดมาดิฉันได้รับโทรศัพท์จากลุงวิทย์ ครูเกษียณว่าได้เอาเอกสารไปยื่นที่ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ไม่รับเพราะไม่รู้จัก ถามแผนกต่างๆก็ไม่มีใครทราบเรื่องเอกสารนี้ คุณลุงจึงขอฉันช่วย ดีที่พี่ที่นำเขียนได้ถ่ายเอกสารหน้า 6-7 ไว้ทั้ง 3 ท่านตามที่ฉันขออนุญาตเก็บเพื่อเป็นหลักฐาน ฉันจึงนำสำเนาขอเข้าพบแผนกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เป็นไปตามคาด แผนกนี้ช่างลึกลับเหมือนทุกโรงพยาบาลที่เหมือนไม่อยากให้ใครรู้ว่าอยู่ตรงไหน เสมือนเป็นแผนกที่จะประจานความพ่ายแพ้ในการรักษา ไม่สามารถอวดอ้างถึงความเก่งกาจในการพิชิตโรคร้ายแรงได้ หรือจะเป็นอัปมงคลแต่ที่ตั้งแผนกนี้อยู่ติดกับหน่วยให้เคมีบำบัด เพียงแต่ต้องเดินผ่านเขาวงกต ก็จะเจอภาพที่ผู้ดูแลกุมมือผู้ป่วยที่เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น สภาพห้องได้ถูกแยกเป็นสัดส่วนดี แต่ไม่มีผ้าม่านบังสายตาคนผ่านไปมา จากห้องให้เคมีเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงห้องรอ…วันนั้น เคยมีคนไข้เดินผิดทางบ้างไหม ? เคยมีคนไข้และญาติตั้งคำถามกับป้ายที่อยู่ติดกันไหม ว่าชื่อแผนกนี้แปลไทยเป็นไทยว่าอะไร ? แล้วใครมารับบริการ ? ถึงมี ฉันคิดว่าก็คงไม่อยากหาคำตอบ มันเป็นความจริงที่รับไม่ได้
คุณพยาบาลที่เป็นหัวหน้าแผนกออกมารับเอกสารเองกับมือด้วยความดีใจ เมื่อแนะนำตัวกันเรียบร้อย เธอบอกกับเราว่านี่เป็นสิ่งที่ทีมเธอต้องการมานานแล้ว เนื่องจากมันจะทำให้ทีมสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวได้ตรงจุด ไม่ต้องเดาใจกัน และร่นระยะเวลาการทำ family meeting จากหลายครั้งเป็นครั้งเดียว เพียงเพื่อยืนยันอีกทีว่ายังคงเจตนาเดิมตามที่เขียนไว้หรือไม่ ไม่แปลกใจเลยที่ฉันเหมือนได้พบเพื่อนดี ๆ อีกคน บุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ตรงนี้ ฉันแน่ใจว่ามาด้วยหัวใจที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ฉันภาวนาขอให้เธอยังยืนหยัดตรงนี้ แม้ไม่มีค่าตอบแทนที่สูงหรือขั้นให้เลื่อนขึ้นเหมือนแผนกอื่น ๆ หน้าที่ของเธอเหมือนปิดทองหลังพระ ให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ สมปรารถนา ทำให้ครอบครัวมั่นใจว่าผู้ที่เขารักมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะท้ายจริง ๆ น่าเสียดายเจ้าหน้าที่หลายคนได้พบความหมายของชีวิต คุณค่าของวิชาชีพที่…ตรงนี้ แต่ไม่สามารถแบกรับภาระที่หนักอึ้งทั้งกายและใจ ความทุกข์ของผู้ป่วยและครอบครัว จนหลายคนอยู่ในสภาวะหมดไฟ เพราะค่าตอบแทนที่ไม่เพียงพอ ความก้าวหน้าที่ไม่มี ก็ทำให้ต้องย้ายแผนกหรือลาออกไป อสม.และCG หลายคนที่ฉันรู้จักไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพ เชียงใหม่ หรือยะลา ล้วนแต่สูงอายุ ฉันถามประธานชุมชน ต่างตอบตรงกันว่าทุกคนมาเป็นอาสาสมัครเพราะใจรักการช่วยเหลือก่อนที่จะมีค่าตอบแทน แต่หมดรุ่นนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีรุ่นหลังมารับช่วงไหม เพราะเป็นงานที่ต้องเสียสละ ถูกเรียกตัวได้ตลอดเวลา ฉันคิดถึงพี่รีที่เป็นทั้งอสม. CG ผู้ดูแลสามีที่ป่วยมาหลายปี ภรรยาและแม่ที่ต้องดูแลครอบครัว แล้วเธอจะมีเวลาดูแลตัวเองหรือ
ฉันดีใจที่ฉันรีบทำตามคำเรียกร้องของลุงวิทย์ในวันนั้น ทำให้ Living Will หรือพินัยกรรมชีวิตของทั้งสามท่านอยู่ในทะเบียนประวัติและอยู่ในระบบเรียบร้อย ฉันรู้ได้อย่างไรว่าเอกสารที่ฉันมอบไปไม่ตกหล่นหายระหว่างทาง เพราะลูกชายคนเดียวของพี่รีบอกฉันว่าพี่พยาบาลและคุณหมอแผนกประคับประคองได้แวะมาถามว่ายังยืนยันตามเอกสารไหม ฉันไม่อยากคิดเลย ถ้าวันนั้นฉันผลัดวันประกันพรุ่ง จะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ ทุกคนในครอบครัวคงจะตอบเหมือน ๆ กันว่าแล้วแต่คุณหมอคุณพยาบาล ตั้งแต่แผนกฉุกเฉินจนถึงห้อง ICU แล้วก็คงต้องจบด้วยการยื้อยุดชีวิตกันสุดกำลัง
ครอบครัวคงไม่เข้าใจคำศัพท์ทางการแพทย์ในเอกสารที่ต้องเซ็น ทุกคนอาจจะต้องเดาใจพี่รีในบางเรื่องเมื่อเจ้าหน้าที่ถาม แต่เคสนี้อาจดีกว่าเคสอื่น ตรงที่พี่ชัยได้ยินภรรยาพูดว่าต้องการอะไรขณะเขียนสมุดเบาใจด้วยกันแม้ไม่มีเอกสารยืนยัน เขาจะสามารถสื่อสารได้ไหมในสภาพที่ทำอะไรไม่ถูกในเวลาวิกฤตเช่นนี้ แต่สมุดเบาใจได้ทำหน้าที่สื่อสารแทนเขาและพี่รีอย่างชัดเจนแล้วกับทีมสุขภาพ เราจึงมั่นใจได้ว่าเธอได้สมปรารถนาทุกอย่าง พี่ชัยและครอบครัวก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำตามความต้องการของผู้เป็นที่รัก
นอนหลับพักผ่อนให้สบายนะคะพี่รี



