ถอดบทเรียนหลักสูตรธรรมชาติชีวิตและความตายสำหรับเด็ก และเยาวชน ชุมชนกรุณาอุบลราชธานี

การเตรียมพร้อมรับมือกับการสูญเสียและการตายมีความสำคัญสำหรับทุกคน และมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับบุคคลทั่วไปสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็กและเยาวชนกิจกรรมการเรียนรู้ในประเด็นนี้ยังมีข้อจำกัด ชุมชนกรุณาอุบลราชธานีมองเห็นช่องว่างดังกล่าวจึงดำเนินโครงการขับเคลื่อนการส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องชีวิตและการตายในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2565 เริ่มต้นได้พัฒนาหลักสูตรธรรมชาติของชีวิต 16 ชั่วโมง สำหรับเด็กและเยาวชน ร่วมกับชุมชนกรุณาลำปาง โดยเนื้อหาหลักสูตรเน้นการพัฒนาการเรียนรู้ในระดับปัจเจกบุคคลเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตและการตายผ่าน 4 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ (1) การรู้จักธรรมชาติ  (2) การรู้จักตัวเอง  (3) การรับมือการเปลี่ยนแปลงและสูญเสีย และ (4) การตั้งเป้าหมายและคุณค่าของชีวิต พร้อมทั้งได้นำหลักสูตรนี้ทดลองใช้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 ในภาคการศึกษาที่ 2 ของปีการศึกษา 2565 ณ โรงเรียนบ้านคันไร่ อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี จากผลการทดลองนี้ชุมชนกรุณาอุบลฯ ได้พัฒนาหลักสูตรเพิ่มเติมโดยเสริมเนื้อหาที่ช่วยพัฒนาความตระหนักรู้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในระดับชุมชน เพื่อบ่มเพาะความกรุณาให้ผู้เรียน และเห็นว่าตนเองจะมีส่วนร่วมดูแลคนในครอบครัวและผู้อื่นในชุมชนอย่างไร หลักสูตรใหม่นี้ได้จัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2  ปีการศึกษา พ.ศ. 2566 (กลุ่มเป้าหมายเดิมที่เลื่อนระดับชั้น) โดยมีการกำหนดเรียนทุกวันพุธ ครั้งละ 1 ชั่วโมง 30 นาที ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์รวมระยะ เวลา 16 ชั่วโมง บทความนี้เสนอผลการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้หลักสูตรธรรมชาติชีวิตและความตายสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อการขยายผลหลักสูตรและส่งเสริมการพัฒนาความรอบรู้ด้านการสูญเสียและการตายสำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชนในพื้นที่การศึกษาอื่นๆ ต่อไป

ทำไมเด็กเยาวชนต้องเรียนรู้เรื่องความตาย ?

เด็กเยาวชนมักเป็นกลุ่มที่ถูกมองว่าห่างไกลจากความตาย ไม่เข้าใจเรื่องความตายและการพลัดพรากสูญเสียเพราะเห็นว่าอายุยังน้อย อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ความตายและการพลัดพรากสูญเสียเป็นสิ่งใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นความตายของสมาชิกในครอบครัว ความตายของเพื่อนบ้านในชุมชนนอกจากนี้ ความตายก็เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยไม่เลือกเพศ อายุ ความเชื่อ หรือศาสนา กล่าวได้ว่า ทุกคนใกล้ชิดกับความตายอย่างแยกขาดไม่ได้ การเรียนรู้เรื่องการตายและการเตรียมตัวตายและการพลัดพรากสูญเสียจึงเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเนื้อหาและกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับพัฒนาการเรียนรู้ตามวัยเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มเด็กและเยาวชน

การสร้างกระบวนการเรียนรู้เรื่องการตายและการสูญเสียสำหรับเยาวชนมีหลายแนวคิด ในการพัฒนาหลักสูตรนี้อยู่บนพื้นฐานแนวคิดที่มองว่า เมื่อเด็กเยาวชนเข้าใจธรรมชาติของชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเห็นว่าการตายเป็นธรรมชาติและเป็นความธรรมดาของชีวิต มีทัศนติที่เป็นมิตรกับความตายและไม่ได้มองความตายเฉพาะด้านที่น่ากลัวเพียงอย่างเดียว เขาจะสามารถยอมรับความเป็นจริงนี้ได้ นอกจากนี้ การส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลอารมณ์ความรู้สึก เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ด้านลบหรือเผชิญความสูญเสียแล้วพวกเขาสามารถบอกความรู้สึกของตนเองได้ และมีวิธีการดูแลอารมณ์ความรู้สึกตนเอง รวมถึงสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่รอบข้างหรือผู้ปกครอง เมื่อต้องเผชิญการสูญเสีย ปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยให้เด็กและเยาวชนประคองจิตใจและอารมณ์ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตแห่งการสูญเสียได้ง่ายขึ้น ในอีกด้านหนึ่งยังช่วยพัฒนาความตระหนักด้วยว่า มนุษย์มีเวลาอยู่อย่างจำกัด ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาได้ทบทวน วางแผน และให้เวลากับสิ่งที่มีคุณค่าและสำคัญของชีวิต รวมถึงการพัฒนาตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมาย ความฝัน หรือสิ่งที่ตนเองให้ความสำคัญ

หลักสูตรการเรียนรู้ธรรมชาติชีวิตและความตาย

หลักสูตรเรียนรู้ธรรมชาติชีวิตและความตาย ประกอบด้วย 7 หน่วยการเรียนรู้โดยได้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน ความรู้ ทัศนคติ และความตระหนักรู้ ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและระดับสังคม ภายใต้ระยะเวลาในการเรียนรู้ของ 7 หน่วยรวม 32 ชั่วโมง องค์ประกอบของหลักสูตร การเรียนรู้ธรรมชาติของชีวิตและความตาย แสดงดังนี้

แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาระดับปัจเจกบุคคล

การเรียนรู้ระดับปัจเจกบุคคลเกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้  ทัศนคติ และความตระหนักรู้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 4 หน่วยการเรียนรู้ได้แก่ (1) ธรรมชาติของชีวิต (2) การรู้จักตนเอง (3) การพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและการสูญเสียในชีวิตตนเอง และ (4) การตั้งเป้าหมาย ความหมาย และคุณค่าของชีวิต ทั้งนี้แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้มีทั้งกิจกรรมศิลปะ เกม การสร้างสรรค์ชิ้นงาน และการสนทนากลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรง ฝึกการสังเกต การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแสดงอารมณ์ความรู้สึกตนเอง และสนุกไปกับการเรียนรู้ ในขณะที่ ผู้สอนหรือครูมีบทบาทสำคัญคือ การอำนวยความสะดวก การสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเล่น การสื่อสารความคิด อารมณ์ความรู้สึก รวมถึงครูควรสังเกตการณ์การร่วมกิจกรรมของผู้เรียน การตั้งคำถามเพื่อชวนคุยในประเด็นที่สอดคล้องกับเนื้อหา ชวนถอดบทเรียนเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจตามเป้าหมายของหลักสูตร แนวทางการจัดการเรียนรู้แต่ละหน่วยมีกิจกรรมดังนี้

หน่วยเรียนรู้ที่ 1 การรู้จักธรรมชาติ ใช้กิจกรรมเรียนรู้จากธรรมชาติ เช่น กิจกรรม “ใบไม้ที่เปลี่ยนแปลง” ให้ผู้เรียนสำรวจสีใบไม้จากต้นเดียวกัน แล้วนำมาจัดเรียงไล่จากใบอ่อน ใบสีเขียวเข้ม ไปหาใบแก่สีน้ำตาล ครูทำหน้าที่สังเกตการณ์ และตั้งคำถามเกี่ยวกับการเกิด การเปลี่ยนแปลง การเสื่อมสลาย ว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องหรือสะท้อนธรรมชาติชีวิตของเราอย่างไร กิจกรรมต่อมาคือ “เปิดประสาทสัมผัสรับรู้ธรรมชาติ” ให้นักเรียนได้ฝึกใช้ประสาทสัมผัส “การฟัง” มากขึ้น โดยการปิดตาและพาเดินไปรอบ ๆ สวนในโรงเรียน เพื่อการฝึกการฟังเสียง พัฒนาการรับรู้ธรรมชาติได้ละเอียดมากขึ้น แยกแยะเสียงต่างๆในธรรมชาติ  ฟังเสียงที่อาจไม่เคยได้ยิน การฟังธรรมชาติจะช่วยให้รับรู้ความคิดความรู้สึกภายในตนเองชัดเจนขึ้น การฟังยังเป็นประตูสู่การเชื่อมโยงตัวเองกับผู้คนรอบข้างอีกด้วย

หน่วยเรียนรู้ที่ 2 การรู้จักตนเอง เป็นการเรียนรู้การเห็นคุณค่าและการรู้จักตนเองผ่านเกม “ฉันคือใคร”  โดย กิจกรรมที่ 1 ให้ผู้เรียนทบทวนและเขียนข้อดี ข้อเสียของตนเองลงการ์ด แล้วนำมาติดเสื้อ ชวนให้ผู้เขียนเดินรอบวง จับคู่และผลัดกันอ่านข้อดีข้อเสียของกันและกัน และให้กลุ่มทายว่าใครมีข้อเสียอะไร กิจกรรมที่ 2 สร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยวาดใบหน้าตัวเองตรงกลางกระดาษ และตอบคำถาม 6 ข้อ ได้แก่ (1) ฉันคือใคร (2) สิ่งที่อยากทำ/อยากเป็น (3) ข้อดี (4) ข้อเสียที่ควรปรับปรุง (5) ชอบอะไร และ (6) ไม่ชอบอะไร จากนั้นนำชิ้นงานมาแลกเปลี่ยนกันว่า ต้นทุนที่ตนมีและเป้าหมายความสำเร็จสอดคล้องกันหรือไม่ 

หน่วยเรียนรู้ที่ 3 การรับมือความเปลี่ยนแปลง การพลัดพราก และการสูญเสีย ได้จัดการเรียนรู้สองกิจกรรมคือ (1) กิจกรรมจัดดอกไม้จัดชีวิต เพื่อให้เด็กมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับความไม่สมหวัง การไม่ได้ดั่งใจผ่านกระบวนการจัดดอกไม้ หลังจากนั้นนำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนภายในกลุ่ม และ (2) บรรยายเนื้อหา “การจัดการอารมณ์” โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน และแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นภายในกลุ่ม เพื่อเชื่อมโยงสู่การรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกของความเปลี่ยนแปลง ความไม่สมหวัง การพลัดพราก และการสูญเสีย

หน่วยเรียนรู้ที่ 4 การตั้งเป้าหมาย ความหมาย และคุณค่า ใช้กิจกรรม “คุณสมบัติที่ดี” โดยให้ผู้เรียนเลือกภาพที่บ่งบอกความเป็นตัวเอง แล้วลองอ่านความหมายจากภาพว่าบ่งบอกถึงคุณสมบัติที่ดีอะไรบ้าง เช่น ความอดทน ความมุ่งมั่น ความขยัน ความอ่อนโยน ฯลฯ คุณสมบัติเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับการตั้งเป้าหมายในชีวิตซึ่งเป็นกิจกรรมต่อไป คือ “เกมล่าฝัน” โดยให้ผู้เรียนเขียนสิ่งที่อยากทำ ความฝัน และอาชีพ ลงในบัตรคำ แล้วเก็บไว้ จากนั้นให้ผู้เรียนค้นหาบัตรคำที่เป็นปัจจัยส่งเสริมความสำเร็จที่วางอยู่ในที่ต่างๆ ของห้องเรียน โดยมีกำหนดเวลาหรือเสียงกระดิ่ง ซึ่งเป็นเหมือนอุปสรรคที่แต่ละคนจะมีเวลาจำกัด บัตรคำที่สมบูรณ์ประกอบด้วย ทักษะความรู้ที่ต้องมีเพื่อไปสู่จุดหมาย คุณสมบัติ ต้นทุนที่ใช้ (สิ่งที่จับต้องได้) และผู้คนที่เกี่ยวข้องและคอยสนับสนุน หลังจบกิจกรรมร่วมถอดบทเรียนภายในกลุ่ม ดูชิ้นงานหรือกลุ่มบัตรคำของผู้เรียน และชวนตั้งคำถามว่าสิ่งที่ได้มาสอดคล้องกับเป้าหมายของชีวิตหรือไม่

 แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความกรุณาและการมีส่วนร่วมในชุมชน

การเรียนรู้ระดับชุมชนและสังคม เกี่ยวข้องกับการชวนเด็กสำรวจว่า ตนเองจะมีส่วนร่วมในการดูแลคนป่วยในชุมชนได้อย่างไร ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยบ่มเพาะความกรุณา ความตระหนักรู้การดูแลผู้ป่วยและบทบาทหน้าที่ของผู้ดูแล รวมถึงประสบการณ์เยี่ยมบ้านที่ช่วยให้ผู้เรียนเห็นถึงแนวทางว่าตนจะมีส่วนร่วมในครอบครัวหรือชุมชนดูแลผู้ป่วยได้อย่างไร การเรียนรู้เพิ่มเติมมี 3 หน่วย ได้แก่ (5) ศิลปะกับการรู้จักตนเองและการสร้างสรรค์สิ่งดีๆเพื่อผู้อื่น (6) กิจกรรมวงล้อมแห่งการดูแล และ (7) การเชื่อมโยงการเรียนรู้สู่ชุมชน

หน่วยเรียนรู้ที่ 5 ศิลปะกับการรู้จักตนเองและการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อผู้อื่น ประกอบด้วย 2 กิจกรรม ได้แก่ (1) กิจกรรมศิลปะการวาดเส้นเพื่อสื่อความรู้สึกและตัวตน โดยชวนเด็กๆ วาดสัญลักษณ์หรือรูปภาพที่สื่อถึงสิ่งรอบตัว สื่อถึงความรู้สึกและสิ่งนามธรรม เช่น ความรัก ความเหงา ฯลฯ  จากนั้นนำภาพวาดมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันในกลุ่ม (2) กิจกรรมทำคุกกี้เยี่ยมบ้าน หลังจากเรียนรู้การวาดเส้นให้ผู้เรียนออกแบบขนมหรือคุกกี้เป็นรูปทรงต่างๆ เพื่อใช้เป็นแบบสำหรับทำขนม และเป็นคุกกี้เยี่ยมผู้ป่วยและผู้ดูแลในชุมชน งานศิลปะช่วยให้เด็กภูมิใจและชื่นชมตัวเอง อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ของขวัญให้กับผู้อื่น และครูชวนผู้เรียนแลกเปลี่ยนภายในกลุ่มว่า การออกแบบรูปคุกกี้ เช่น บางคนทำคุกกี้รูปหัวใจ รูปสัตว์ เหล่านี้สื่อถึงความรู้สึกอะไร

หน่วยเรียนรู้ที่ 6 การเชื่อมโยงการเรียนรู้สู่ชุมชน เป็นกิจกรรมสนทนากลุ่ม โดยเชิญอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)  มาแบ่งปันประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยในชุมชนให้กับนักเรียน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้เรียนคิด ถาม และร่วมสนทนาในกลุ่มร่วมกันว่า เราเห็นอะไรกับบทบาทหน้าที่ของ อสม. และเราจะช่วยสนับสนุนงานของ อสม. อะไรได้บ้าง  นอกจากนี้ อสม. ได้นำผู้เรียนลงเยี่ยมบ้านผู้ป่วยในชุมชน ส่งมอบของเยี่ยมซึ่งเป็น “คุกกี้ทำมือ” ที่เด็กๆ ออกแบบและทำด้วยตนเอง หลังการเยี่ยมบ้าน ครูชวนสนทนากลุ่ม แลกเปลี่ยนประสบการณ์การลงเยี่ยมบ้าน เช่น ไปเยี่ยมใคร สภาพชีวิตเขาเป็นอย่างไร เรารู้สึกอย่างไร และถ้าเราเป็นลูกหลานของเขา(ผู้ป่วย) เราจะทำอะไรให้เขาบ้าง

หน่วยเรียนรู้ที่ 7 กิจกรรมวงล้อมแห่งการดูแล เป็นเกมที่ออกแบบตามแนวคิดวงล้อมแห่งการดูแล (circles of care) ที่มองว่าการดูแลผู้ป่วยหนึ่งคนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายการดูแล 5 ชั้น ได้แก่ เครือข่ายวงใน (ผู้ดูแลหลักและสมาชิกในครอบครัว) เครือข่ายวงนอก (ญาติ เพื่อนบ้าน) ชุมชน (อสม. จิตอาสา ชมรม หรือหน่วยต่างๆในชุมชน) หน่วยบริการสุขภาพ (เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่พยาบาลและแพทย์) และเครือข่ายผู้กำหนดนโยบายทั้งนโยบายท้องถิ่นและนโยบายรัฐ กิจกรรมเริ่มด้วย การวาดภาพวงล้อมแห่งการดูแลบนพื้น จากนั้นแบ่งกลุ่มเด็กเป็น 3 กลุ่ม สำหรับวงที่ 1-3 (กิจกรรมนี้ยังไม่ครอบคลุมถึงวงที่ 4-5) โดยวงที่ 1 คือกลุ่มผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ วงที่ 2 กลุ่มผู้ดูแลในครอบครัว และวงที่ 3 คือ อสม. เพื่อนบ้าน และสมาชิกชุมชน จากนั้น จัดตำแหน่งการยืนของแต่ละกลุ่มตามวงล้อม โดยวงที่ 1 อยู่ในสุดและเรียงออกมาตามลำดับ สมาชิกกลุ่มจับมือกันเป็นวง เพื่อปกป้องผู้ป่วยคนวงในจาก “ความตาย” ตัวละครที่จะบุกเข้ามา โดยให้เวลาป้องกัน 2-3 นาที โดยมีกติกาคือ ห้ามใช้ความรุนแรงกับความตาย และเพื่อนในทีม และถ้ามีคนล้มหรือเจ็บให้ถือว่าแพ้ กลุ่มจะต้องปกป้องดูแลกัน ป้องกันการบาดเจ็บ หลังจบกิจกรรม ชวนถอดบทเรียนผ่านคำถาม เช่น ระหว่างเล่นเกมรู้สึกอย่างไร การปกป้องคนวงในเหนื่อยหรือไม่ ในชีวิตจริงคนดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุเหนื่อยหรือไม่ อย่างไร การสื่อสารในขณะเล่นเกมเป็นอย่างไร ถ้ามีคนตำหนิกันการช่วยเหลือภายในกลุ่มเป็นอย่างไร ผู้ดูแลหรือคนวงที่สามมีโอกาสป่วยมั้ย ผู้เล่นเกมมีโอกาสป่วยมั้ย และเราจะร่วมดูแลกันได้อย่างไรบ้าง หลังจบกิจกรรมครูช่วยสรุปบทเรียนให้เห็นภาพรวม เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมดูแลของคนในครอบครัวและผู้อื่นใน

แนวทางการสร้างเครื่องมือการประเมินการเรียนรู้

การประเมินการเรียนรู้ของหลักสูตรธรรมชาติของชีวิตและความตายนี้ใช้การสังเกตการณ์มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน การนำเสนอชิ้นงานศิลปะ การปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่ม และการชวนคุยเพื่อถอดบทเรียนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ พบว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ได้แก่ การเห็นคุณค่าในตนเอง การสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกได้ การเกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมีความต้องการที่จะการมีส่วนร่วมทำประโยชน์เพื่อชุมชน นอกจากนี้ หลังจบหลักสูตรมีการประเมินหลักสูตรผ่านการถอดบทเรียนอีกครั้ง โดยครูและผู้เรียนร่วมทบทวนหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์สังเคราะความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตและความตาย และเพื่อการปรับปรุงหลักสูตรให้สมบูรณ์ขึ้น ในอนาคตสิ่งที่ควรเพิ่มคือการสร้างเครืองมือประเมินเชิงปริมาณที่อิงผลการเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้และเป้าหมายของหลักสูตร โดยพิจารณาว่าการจัดการเรียนรู้ของแต่ละหน่วยเรียนรู้จะพัฒนาผู้เรียนสมรรถนะด้าน ความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และการมีส่วนร่วมในระดับใด นอกจากนี้ การพัฒนาการประเมินการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับสาระแกนหลักของหน่วยการเรียนรู้ประถมศึกษาของกลุ่มสาระ เช่น สังคมศึกษา สุขศึกษา ศิลปะ และสาระด้านอาชีพผู้ดูแล

สรุปและข้อเสนอแนะการจัดการเรียนรู้

หลักสูตรธรรมชาติของชีวิตและความตาย 32 ชั่วโมง สำหรับเด็กและเยาวชนในระดับประถมศึกษาประกอบด้วย 7 หน่วยการเรียนรู้ และการถอดบทเรียน ช่วยพัฒนาด้านความรู้ความเข้าต่อชีวิต ทักษะการสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกต่อการเปลี่ยนแปลง การบ่มเพาะความเห็นอกเห็นใจ การรับรู้ว่ามีคนในครอบครัวและผู้อื่นในชุมชนกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงหรือเจ็บป่วย และเราสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อมีส่วนร่วมดูแลกายใจของผู้เผชิญการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของชีวิตนี้ได้ เหล่านี้ช่วยบ่มเพาะความกรุณาซึ่งเป็นหัวใจของการเป็นจิตอาสาของชุมชนในอนาคต นอกจากนี้ หน่วยการเรียนรู้ของหลักสูตรยังเชื่อมโยงเนื้อหาถึงการรู้จักตนเอง สมรรถนะ และแหล่งทรัพยากรภายนอก ที่ช่วยสนับสนุนผู้เรียนในการวางแผนชีวิตด้านอาชีพในอนาคต อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนรู้ “หลักสูตรธรรมชาติชีวิตและความตาย” ในโรงเรียนพบข้อจำกัดหลายด้าน เช่นการจัดเวลาของกิจกรรมตามหลักสูตรกับแผนจัดกิจกรรมของโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนมีกิจกรรมอื่น เช่น การแข่งขันทักษะวิชาการ กีฬากลุ่ม กีฬาสี และกิจกรรมอื่นๆ ที่แทรกเข้ามาโดยไม่ทราบกำหนดการณ์ล่วงหน้า ทำให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องเลื่อนและหรือปรับแผนกิจกรรมบ่อยครั้ง ข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาประเด็นนี้คือการบูรณาการเนื้อหาของหลักสูตรธรรมชาติชีวิตและความตายเข้ากับสาระการเรียนรู้ของประถมศึกษา โดยสามารถปรับเนื้อหา  กิจกรรมและการประเมินให้สอดคล้องกับสาระแกนกลาง เช่น สังคมศึกษา สุขศึกษา ศิลปะ และสาระด้านอาชีพผู้ดูแล

นอกจากนี้ สำหรับกลุ่มภายนอกที่ร่วมดำเนินโครงการเรียนรู้ร่วมกับโรงเรียน ผู้ดูแลโครงการควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นว่า ลักษณะการบริหารของโรงเรียนและการทำงานของชุมชนเป็นอย่างไร  เอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรมได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนสำคัญอีกด้านหนึ่ง คือการค้นหาครูประจำชั้นเพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการฯ ซึ่งควรศึกษาว่าครูมีวิสัยทัศน์และความสนใจต่อประเด็นและกระบวนการเรียนรู้แบบนี้อย่างไร และมีแนวโน้มจะต่อยอดการทำงานกับเยาวชนนอกเหนือจากเนื้อหาวิชาในโรงเรียนอย่างไร เหล่านี้มีความสำคัญในการส่งเสริมการการเรียนรู้การอยู่และและตายดีผ่านโครงสร้างโรงเรียนระดับประถมวัย