ชีวาภิบาล “กลุ่มเปราะบาง”…”ช่องว่าง” ที่ยังต้องการการดูแล

โดย ภัสน์วจี  ศรีสุวรรณ์

เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ “ชีวาภิบาล Sharing Practices ครั้งที่ 7” เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 เรื่อง “ การดูแลกลุ่มเปราะบางป่วยระยะท้าย” เป็นการพูดคุยถึงกลุ่มเปราะบาง 3 กลุ่มคือกลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำ กลุ่มคนไร้บ้าน และกลุ่มชาติพันธุ์และแรงงานข้ามชาติ

กลุ่มเปราะบางในเรือนจำ… แหล่งรวมผู้ป่วยสูงอายุ จิตเวช ไร้บ้าน

คุณวรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death และประธานมูลนิธิวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณาเล่าว่า “ชีวาภิบาล” คือระบบการดูแลที่ช่วยให้คนทุกคนได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตในระยะท้ายเพื่อการตายดี ซึ่งระบบชีวาภิบาลตามนโยบายของรัฐบาลครอบคลุมผู้ที่ได้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคระยะท้ายหรือโรคคุกคามชีวิต เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยที่เป็นโรครักษาไม่หายและเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วย โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน โรคที่มีภาวะเสื่อม เช่น สมองเสื่อม ผู้สูงอายุ ร่วมถึงกลุ่มคือผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เฉพาะ เช่น คนไร้บ้าน ผู้ต้องขังในเรือนจำ หรือคนที่มีภาวะจิตเวช ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่มักเข้าไม่ถึงระบบสุขภาพ

คุณวรรณาเล่าว่ามูลนิธิฯ เริ่มทำงานชีวาภิบาลในเรือนจำเมื่อสามปีที่แล้ว โดยทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่นในการอบรมพัฒนาหลักสูตรการเสริมศักยภาพผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยเฉพาะมิติด้านใน เช่น หลักสูตรการพัฒนาศักยภาพผู้ต้องขัง หลักสูตรวิชาชีพ ซึ่งระหว่างนั้นเธอพบว่าในเรือนจำที่มีผู้ต้องขังประมาณ 4,000 คนนี้ มีผู้ต้องขังผู้สูงอายุจำนวนมาก โดยมีทั้งผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยเป็นโรคที่รักษาได้ยาก ป่วยระยะท้าย เป็นผู้ป่วยจิตเวช และเป็นคนไร้บ้าน ซึ่งผู้ต้องขังที่มีภาวะป่วยซับซ้อนและรุนแรงต้องไปโรงพยาบาลเป็นระยะ ขณะที่ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ต้องมีเจ้าหน้าที่ติดตามควบคุมอย่างน้อยหนึ่งคน การพาผู้ต้องขังป่วยไปโรงพยาบาลจึงเป็นหนึ่งในภารกิจที่ปฏิเสธไม่ได้ของเรือนจำ  นอกจากนี้ยังพบว่า เมื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและอยู่ในภาวะวิกฤติ ทางโรงพยาบาลติดต่อญาติพี่น้องไม่ได้ และกลับเรือนจำไม่ได้ โรงพยาบาลจึงรักษาตามแบบแผนอย่างเต็มที่ บางครั้งเป็นการยื้อชีวิต เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในโรงพยาบาล

ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่ม Peaceful Death จึงมีการจัดทำโครงการการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า ตามมาตรา 12 ที่กำหนดให้บุคคลแสดงเจตนาล่วงหน้าได้ว่าจะรับการดูแลรักษาในระยะท้ายของชีวิตอย่างไร โดยทำกิจกรรมกับกลุ่มผู้ต้องขังผู้หญิงกลุ่มเปราะบาง คือ ผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจิตเวช ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยระยะท้าย จำนวน 120 คน (100 เปอร์เซ็นต์) แบ่งเป็น 3 รุ่น รุ่นละ 5 วัน แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรก 3 วัน เว้นระยะ 2 สัปดาห์เพื่อการฝึก ครั้งที่สอง 2 วัน ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผู้ต้องขังแต่ละคนจะมีสมุดเบาใจที่แสดงเจตนารมย์ว่าจะรับการดูแลรักษาอย่างไรเมื่อเจ็บป่วยระยะท้าย

“โชคดีที่เรือนจำกลางขอนแก่นมีสถานพยาบาลในเรือนจำ มีอาสาสมัครในเรือนจำ (อสจร.) ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล ผู้ป่วยหนักหรือเรื้อรัง ซึ่งในทางปฏิบัติผู้ต้องขังที่ป่วยระยะท้ายบางคนเสียชีวิตในเรือนจำ แต่กลุ่มที่ต้องการการดูแลต่อเนื่องที่อาการหนักและฉุกเฉินแล้วต้องไปส่งโรงพยาบาล คนกลุ่มนี้ต้องการการวางแผนล่วงหน้า ผู้ต้องขังบางคนบอก พอได้วางแผนล่วงหน้า มันทำให้ชีวิตที่เหลือของเขามีอิสรภาพมากขึ้น อย่างน้อยเขาได้เลือกชีวิตในช่วงสุดท้ายให้ตัวเอง”
นอกจากนี้มูลนิธิฯ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น เพื่อส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าของผู้ต้องขังเข้าไปในระบบของโรงพยาบาล เพื่อทำให้การวางแผนสุขภาพล่วงหน้าถูกนำไปปฏิบัติได้จริง โดยโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นมีศูนย์ดูแลแบบประคับประคองที่เรียกว่า “หน่วยพลังใจ” ซึ่งปัจจุบันยกระดับมาเป็นศูนย์ชีวาภิบาลในโรงพยาบาล ซึ่งสามารถรองรับผู้ป่วยระยะท้ายได้ 8  เตียง


“ การทำงานชีวาภิบาลในเรือนจำจะต้องทำความเข้าใจกับเรือนจำถึงความสำคัญของงานนี้ จากนั้นก็ต้องทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายของเราคือผู้ต้องขังว่าวางแผนสุขภาพแล้วเขาจะได้อะไร เมื่อทำแล้วก็ต้องมีการไปเชื่อมต่อกับภายนอกคือโรงพยาบาลที่จะรับไม้ต่อถ้าเกิดการเจ็บป่วย ไม่ใช่เป็นงานทำแล้วจบในเรือนจำ“ คุณวรรณาสรุป

ภาพผู้ร่วมกิจกรรม “ชีวาภิบาล Sharing Practices ครั้งที่ 7” บาทหลวงเอกชัย ผลวารินทร์ (ผู้ช่วยพระสังฆราชฝ่ายสังคม สังฆมณฑลเชียงราย) นายแพทย์อานนท์ กุลธรรมมานุสรณ์  (นักวิจัย สำนักงานวิชาการสาธารณสุข) และคุณวรรณา จารุสมบูรณ์ (ประธานกลุ่ม Peaceful Death ) ผู้ดำเนินรายการ คุณภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์ (นักเขียนอิสระ)

คนไร้บ้าน…ขอเพียงที่พักพิงในวาระสุดท้าย

นายแพทย์อานนท์ กุลธรรมมานุสรณ์  นักวิจัย สำนักงานวิชาการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข และหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มสุขภาวะข้างถนน กลุ่มจิตอาสาทางการแพทย์ เล่าว่าทางกลุ่มทำกิจกรรมหลัก 2 ประการคือ การออกหน่วยดูแลสุขภาพคนไร้บ้านร่วมกับมูลนิธิอิสรชนทุกวันอังคารที่สองและอังคารสุดท้ายของเดือน ที่ตรอกสาเก กรุงเทพมหานคร เพื่อจ่ายยาและให้คำปรึกษาเรื่องการดูแลสุขภาพ รวมถึงให้คำแนะนำเรื่องการใช้สิทธิและการเข้าถึงบริการในโรงพยาบาล และทำงานเรื่องการตายดีหรือชีวาภิบาลด้วยการจัดทำโครงการบ้านพักพิงชั่วคราวทางการแพทย์ ซึ่งเป็นบ้านพักสำหรับคนไร้บ้านที่เจ็บป่วยและต้องการฟื้นฟูสุขภาพหลังออกจากโรงพยาบาลแล้วแต่ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตไร้บ้านได้ แบ่งเป็นกลุ่มคนไร้บ้านที่ภาคประชาชนพบเจอข้างถนนแล้วแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้พาไปโรงพยาบาล จากนั้นโรงพยาบาลให้กลับมานอนพัก อีกกลุ่มหนึ่งที่พบมากขึ้นคือเป็นกลุ่มคนไร้บ้านที่ไปนอนโรงพยาบาลและโรงพยาบาลไม่สามารถยุติการรักษาได้เพราะคนไข้ยังไม่แข็งแรง บางคนไม่ได้เป็นคนไร้บ้านแต่เป็นคนที่อยู่บ้านเช่า เมื่ออยู่โรงพยาบาลนานก็กลายเป็นคนไร้บ้าน

“ ประเด็นคนไร้บ้านต่างประเทศกับคนไร้บ้านบ้านเราแตกต่างกัน ในต่างประเทศเป็นคนวัยรุ่นสาว บ้านเรามีผู้สูงอายุไร้บ้านจำนวนมาก ครึ่งหนึ่งเป็นคนผู้สูงอายุที่หลุดจากตลาดแรงงานและไม่มีสวัสดิการสังคม ไม่มีเครือข่ายสังคมสนับสนุนเมื่อเกษียณทำงานไม่ได้ ก็มาเป็นกลุ่ม คนไร้บ้าน ผู้สูงอายุมักมาพร้อมกับโรคประจำตัว บางคนเป็นมากกว่าหนึ่งโรค จึงมีความจำเป็นต้องดูแลเรื่องการวางแผนการป่วยระยะท้าย” นายแพทย์อานนท์กล่าว

นายแพทย์อานนท์เล่าถึงกรณีการวางแผนสุขภาพกับคนไร้บ้านรายหนึ่งที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะท้ายและอยู่อาศัยในเพิงพักแห่งหนึ่งแถวพรานนก หลังจากไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิระ ซึ่งกรณีนี้ทีมงานของกลุ่มสุขภาวะข้างถนนมีข้อจำกัดว่าไม่สามารถดูแลแบบประคับประคองและให้เสียชีวิตที่บ้านพักพิงทางการแพทย์ของกลุ่มได้ เนื่องจากเป็นบ้านเช่า  จึงปรึกษากับนักสังคมสงเคราะห์ที่โรงพยาบาลเพื่อพูดคุยว่าผู้ป่วยต้องการเสียชีวิตอย่างไร และสุดท้ายเขาก็เสียชีวิตอย่างสงบที่โรงพยาบาล

บ้านพักพิงทางการแพทย์ (Medical Respite Home) เป็นรูปแบบการดูแลคนไร้บ้านที่อเมริกาเพื่อรองรับคนไร้บ้านที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องการการฟื้นฟู กลุ่มสุขภาวะข้างถนนทำโครงการนำร่องโดยรับเงินทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนส่งเสริมสุขภาพ (สสส.)

“เราทำมาสองปี มีสองห้อง มีเคสเกิน 20 เคสแล้ว มีทั้งที่สามารถส่งกลับไปอยู่กับครอบครัวได้ ซึ่งมีไม่มาก ส่งไปอยู่สถานฟื้นฟูหรือบ้านพักต่างๆ  และอีกส่วนหนึ่งก็กลับไปอยู่ในข้างถนนเมื่อแข็งแรงขึ้น ในอนาคตกทม. จะทำที่พักคนไร้บ้าน ก็น่าจะมีบ้านพักพิงแบบนี้บรรจุอยู่ด้วย” นายแพทย์อานนท์กล่าว

กลุ่มชาติพันธุ์และแรงงานข้ามชาติ…บนความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม

บาทหลวงเอกชัย ผลวารินทร์ ผู้ช่วยพระสังฆราชฝ่ายสังคม สังฆมณฑลเชียงราย กล่าวว่าความท้าทายของการทำงานชีวาภิบาลในกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านคือความแตกต่างด้านภาษาและวัฒนธรรม และกลุ่มเป้าหมายงานชีวาภิบาลในชุมชนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากในชุมชนมีกลุ่มผู้สูงอายุจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งมีผู้ดูแลและไม่มีผู้ดูแล

สังฆมณฑลเชียงรายมีประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายจากการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีตั้งแต่ในช่วงที่ยังไม่มียาต้านไวรัสซึ่งช่วงนั้นใช้วิธีไปเยี่ยมบ้านเพื่อพูดคุยเรื่องการเตรียมตัวระยะท้าย หากเป็นผู้นับถือคาทอลิกจะมีการสวดมนต์ภาวนาให้พร และเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิตจะมีการส่งวิญญาณตามหลักศาสนา

“ในพื้นที่เชียงรายมีกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก ในพื้นที่ที่ผมดูแลมีอย่างน้อย 7 ชนเผ่า เจ็ดวัฒนธรรม เจ็ดภาษา มีหลากหลายความเชื่อ ทั้งเรื่องเรื่องผี ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสเตียน  ศาสนาคาทอลิคและศาสนาดั้งเดิม เวลาเข้าไปปฏิบัติต่อผู้ป่วยระยะท้ายจำเป็นต้องใช้ทีมงานสหวิชาชีพ รวมทั้งล่าม และเนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่เราเข้าไปช่วยเหลือมีหลากหลายความเชื่อ เราจึงเข้าไปด้วยหัวใจของความรัก ทำอย่างไรให้เขาสบายกายสบายใจ มีความสุข และจากไปด้วยดีด้วยการเตรียมตัวตามหลักศาสนาธรรมของศาสนาที่ผู้ป่วยนับถือ” บาทหลวงกล่าวถึงหลักการทำงานดูแลผู้ป่วยระยะท้าย

“วัฒนธรรมในชุมชนที่ยังดีอยู่คือเวลาคนใดคนหนึ่งเจ็บป่วย ญาติพี่น้องจะมีประเพณีมาให้กำลังใจผู้ป่วย มาป้อนข้าว ป้อนไข่ ให้น้ำ พูดคุย ให้กำลังใจผู้ป่วยและครอบครัว มีการสวดภาวนา อวยพรส่งความสุขเป็นวิธีการที่เตรียมตัวให้มีโอกาสพบ มีโอกาสร่ำลา นอกจากนี้ยังกิจกรรมผู้สูงอายุเยี่ยมผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุจะเข้าใจความต้องการของผู้สูงอายุด้วยกันดี ผู้สูงอายุที่สุขภาพดีจะเตรียมตัววางแผนร่วมกันว่าหากหนีการเจ็บป่วยระยะท้ายไม่พ้น เราจะทำอย่างไร และหากมีคนใดคนหนึ่งจากไป ผู้สูงอายุก็จะไปร่วมด้วย ในพิธีต่างๆ จะมีบทสอน​ การภาวนา การเห็นภาพระยะท้ายที่คนๆ นั้นจากไป เป็นหนึ่งในการระลึกถึงและวางแผนระยะท้ายของชีวิตของคนที่ยังอยู่”

ส่วนกลุ่มแรงงานข้ามชาติในพื้นที่เชียงรายมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย กลุ่มที่เข้ามาทำงานอย่างไม่ถูกกฎหมาย เวลาเจ็บป่วยจะไม่มีสิทธิ์ด้านสุขภาพใดๆ แรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานในพื้นที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล อาศัยอยู่ในบ้านเช่าหรือพื้นที่เกษตรที่เข้าไปใช้แรงงาน

“มีผู้ป่วยข้างหนึ่งอาศัยอยู่ในสวนยาง พอเราเข้าไปเยี่ยมปรากฏว่าเขาอยู่คนเดียวในบ้านไม่มีไฟฟ้า สภาพสกปรก เราเข้าไปดูแลเรื่องสุขภาพร่างกาย สร้างบรรยากาศที่สะอาด ทำให้เขาได้มีโอกาสพบกับพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขานับถือ โดยประสานความสัมพันธ์กับเพื่อน ในที่สุดพระก็เอาข้าวที่บิณฑบาตไปให้ ไป มีจิตอาสาในชุมชนไปช่วยดูแล ทำให้ผู้ป่วยท่านนี้ได้จากไปอย่างมีความสุขที่บุคคลไม่ทอดทิ้งและการปฎิบัติตามหลักศาสนา” บาทหลวงเอกชัยเล่าถึงประสบการณ์จากการดูแลแรงงานข้ามชาติ และบอกว่าในภาคเหนือมีกลุ่มแรงงานข้ามชาติจำนวนมากและพบว่ามีจำนวนมากที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย

“การทำงานกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำเป็นต้องใช้หัวใจแห่งความรัก  ใช้หูทั้งสองข้างในการรับฟังความต้องการของญาติและผู้ป่วย ใช้ปากสรรเสริญให้คุณค่าให้กำลังใจผู้ป่วยและญาติ โดยใช้การสรรเสริญภาวนาตามความเชื่อทางศาสนานั้นๆ ใช้มือทั้งสองข้างช่วยคนป่วยด้านสุขภาพกายและสิ่งแวดล้อม ใช้ขาทั้งสองข้างก้าวออกไปหาผู้ป่วย ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในซอกมุมต่างๆ ไม่ว่าจะเชื้อชาติใดๆ  เพื่อให้คนเหล่านั้นได้สิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ ในฐานะที่แต่ละคนนั้นเป็นลูกของพระเหมือนกัน เพื่อให้แต่ละคนนั้นจากไปอย่างมีความสุข จากไปในพระเมตตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แต่ละคนนับถือ” บาทหลวงเอกชัยกล่าวสรุปหลักการทำงานดูแลผู้ป่วยระยะท้าย

สถานชีวาภิบาลที่ “เข้าถึง” คนเปราะบาง

คุณวรรณาบอกว่านโยบายชีวาภิบาลของรัฐบาลทำให้เกิดระบบรองรับการดูแลผู้ป่วยระยะยาวและโรคผู้ป่วยระยะท้ายที่ยังเข้าไม่ถึงการดูแล กรณีกลุ่มผู้ต้องขัง นโยบายนี้ทำให้เรือนจำเห็นความสำคัญของการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าและเชื่อมต่อกับสถานชีวาภิบาลในโรงพยาบาลได้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงข้อมูลการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า ซึ่งสำนักงานสุขภาพแห่งชาติกำลังทำงานเพื่อให้โรงพยาบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าได้ผ่านระบบการยืนยันตัวตน

“ยังมีช่องว่างที่ควรทำคือการยกระดับให้มีสถานชีวาภิบาลในเรือนจำ โดยสถานการณ์โควิดทำให้เรือนจำบางแห่งมีการจัดระบบ มีการคัดกรอง มีสถานที่สำหรับกักตัว มีสถานที่สำหรับดูแลผู้ป่วย มีการ การติดตามอาการ ทำให้หลายอย่างที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้เป็นไปได้ นี่เป็นศักยภาพที่เรือนจำมี ซึ่งสามารถจัดระบบเพื่อดูแลผู้ป่วยเรื้อรังหรือผู้ป่วยระยะท้ายได้ โดยกระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนเรื่องระบบการให้คำปรึกษา การตรวจเยี่ยมเป็นระยะ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ต้องขังที่ป่วยระยะท้ายและวางแผนสุขภาพล่วงหน้าในสมุดเบาใจเรียบร้อยแล้วตายดีในเรือนจำได้ แทนการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในห้องไอซียูของโรงพยาบาล” คุณวรรณากล่าว
 
นายแพทย์อานนท์เห็นเช่นเดียวกันควรมีการจัดทำสถานชีวาภิบาลสำหรับคนไร้บ้าน เพื่อดูแลคนไร้บ้านที่ป่วยระยะท้าย เนื่องจากคนไร้บ้านไม่มีบ้านและชุมชนเป็นที่พักพิง ซึ่งสถานชีวาภิบาลดังกล่าวสามารถทำขึ้นในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งที่คนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย

“บ้านพักพิงทางการแพทย์ของเราเป็นที่พักฟื้นได้ระยะหนึ่ง แต่ปัญหาที่เจอคือเราไม่สามารถดูแลเขาได้ในระยะท้าย  สุดท้ายเขาก็ต้องไปที่สถานคุ้มครองต่างๆ ถ้าเรามีสถานที่เหล่านี้สำหรับกลุ่มคนไร้บ้าน จะช่วยให้การดูแลระยะท้ายเหมาะสมและตามเจตนารมย์ของผู้ป่วยมากขึ้น และไม่ทำให้คนเหล่านี้เสียชีวิตข้างถนน” นายแพทย์อานนท์กล่าว และสรุปว่าคนไร้บ้านเป็นตัวชี้วัดเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคม  คนไร้บ้านมีความจำเป็นต้องเข้าถึงระบบสุขภาพมากกว่าที่คนทั่วไปต้องการ ดังนั้นการทำงานชีวาภิบาลกับคนไร้บ้านจึงควรครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งเชิงป้องกัน  ฟื้นฟู รวมทั้งการดูแลระยะท้าย

“ยังมีช่องให้ทำงานกับคนไร้บ้านได้อีกเยอะ ให้ความเข้าใจ ใช้ความไว้วางใจ และดูแลเขาให้เหมือนเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่เราสามารถเข้าถึงหัวใจเขาได้  อย่ามองคนว่าคนไร้บ้านเป็นแค่คนไข้หรือเป็นกรณีศึกษา ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราคนทำงานด้านสังคมกับคนไร้บ้านที่เราดูแลดีขึ้น” นายแพทย์อานนท์กล่าว 
 
ด้านบาทหลวงเอกชัยกล่าวว่าสิ่งที่เอื้อให้การทำงานดูแลผู้ป่วยในชุมชนชาติพันธุ์และคนไร้บ้านประสบความสำเร็จคือการพัฒนาสื่อที่สามารถสื่อสารกับคนต่างภาษาต่างวัฒนธรรมได้

“อย่างน้อยต้องมีสื่อที่จะช่วยให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจในการเตรียมตัวระยะสุดท้ายและการวางแผนสุขภาพ  แต่ที่ผ่านมาหาสื่อภาษาชนเผ่าแต่ละชนเผ่ายากมาก ส่วนใหญ่เป็นภาษาไทยซึ่งคนชนเผ่าอ่านไม่ได้ บางคนอ่านภาษาตัวเองไม่ได้ ก็อาจจะทำเป็นภาษาภาพ รวมทั้งมีล่ามภาษาต่างๆ ทำหน้าที่ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและมีโอกาสเตรียมตัวเสียชีวิต”