ผู้เขียน: นันทิยา จงเจริญ
การทำงานด้านสาธารณสุขในชุมชนมีทั้งความหลากหลาย และความท้าทาย ปีแล้วปีเล่าที่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ แต่ปี 2564 นั้นหนักหนาเกินกว่าจะลืม เพราะโควิด–19 แพร่ระบาดไปทั่ว ทุกคนในสายงานสุขภาพล้วนเหนื่อยล้า ทั้งแพทย์ พยาบาล อสม. และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต่างทุ่มเทอย่างที่สุดในการดูแลผู้ป่วย ในห้วงเวลาแห่งความกดดันนี้ มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่เคยย่อท้อ — “พี่สายพิน” เธอยังคงทำงานด้วยจิตใจอันแน่วแน่ หวังเพียงให้ผู้คนได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง
ทุกครั้งที่มีประชุมประจำเดือน อสม. ภาพแรกที่ปรากฏในห้องคือ หญิงผมทอง รอยยิ้มสดใส ริมฝีปากแดงแวววาว เสียงทักทายดังชัดตั้งแต่ประตู เธอมาถึงก่อนใครๆ เสมอและไม่เคยนิ่งดูดาย รีบช่วยจัดเตรียมสถานที่ เก้าอี้ โต๊ะ ทุกอย่างเรียบร้อย ฉันยิ้มตอบเธอทุกครั้ง พร้อมความรู้สึกขอบคุณที่เธอทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยพลัง
วันหนึ่ง เธอเดินมาหาฉันด้วยแววตาจริงจัง “วันนี้พี่มีเรื่องอยากปรึกษาน้อง” เธอกล่าว ก่อนเล่าว่าได้รับการชักชวนให้สมัครเป็นผู้ช่วยนักจัดการรายกรณี (CMA) ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ฉันฟังแล้วรู้สึกยินดี เพราะถ้ามีใครเหมาะสมที่สุดสำหรับบทบาทนี้ ก็คือเธอคนนี้นี่เอง และแล้วเธอก็ก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้ช่วยนักจัดการรายกรณี ทำงานร่วมกับทีมงาน ลงพื้นที่ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และผู้ยากไร้ในชุมชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทุกภารกิจเธอทำด้วยความทุ่มเทเต็มหัวใจ
เส้นทางนี้ไม่เคยง่าย ใจของเธอแข็งแกร่ง แต่ร่างกายเธอกลับอ่อนแรงลงทุกวัน เธอป่วยด้วยโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองตีบ และโรคหอบหืด ต้องพบแพทย์เป็นประจำ กระนั้นเธอไม่เคยปล่อยให้โรคเหล่านี้มาเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน ทุกครั้งที่ถึงวันเยี่ยมบ้าน เธอและทีมงานจะนัดหมายประชุม เตรียมงานอย่างรอบคอบในการวางแผนการดูแลผู้ป่วย และเมื่อถึงวันเยี่ยมบ้าน เธอพร้อมเสมอ ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับทีม ดูแลผู้ป่วยทั้งกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ เธอแต่งตัวพร้อมในชุดเสื้อกั๊กอาสาสมัครพัฒนาสังคม ใส่หมวกปีกกว้าง หยิบแฟ้มขึ้นมา และออกเดินด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขในการลงติดตามดูแลผู้ป่วยและผู้ยากไร้ในชุมชน ภาพที่เพื่อนๆ ร่วมทีมได้เห็นคือภาพรอยยิ้มแห่งความสุข แม้ในบางครั้งขณะลงเยี่ยมบ้าน เธอมีอาการหอบเหนื่อยจากโรคหอบหืด เธอใช้มือล้วงไปในกระเป๋าหยิบหลอดพลาสติกเล็กๆ ขึ้นมา 1 หลอด สิ่งนั้นก็คือยาพ่นฉุกเฉินที่เธอต้องพกติดตัวเป็นประจำใช้เมื่อมีอาการหอบเหนื่อย เธอกดยาไป 2 กด และนั่งพักสักครู่หนึ่ง อาการเหนื่อยหอบก็ทุเลาเบาบางลง เพื่อนร่วมทีมจะเห็นภาพแบบนี้ยุบ่อยครั้งขณะลงเยี่ยมบ้าน แต่เธอก็ปฏิบัติภาระกิจเยี่ยมบ้านจนเสร็จเรียบร้อยทุกครั้ง
ธันวาคม 2567 ฉันย้ายสถานที่ปฎิบัติงานไปทำงานอีกรพ.สต.หนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการติดต่อกับพี่สายพิน เธอยังเป็นกำลังหลักในการช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ยากไร้ เรายังคงประสานงานส่งต่อข้อมูลกันอย่างใกล้ชิดเหมือนเดิม
14 กรกฎาคม 2568 โทรศัพท์ดังขึ้น ไลน์โชว์รูปโปรไฟล์หญิงผมทอง ริมฝีปากแดงแวววาว—คนเก่งของฉัน เธอส่งข้อมูลผู้ป่วยรายใหม่มาพร้อมข้อความปรึกษาเรื่องการช่วยเหลือเบื้องต้น ภาพที่ส่งมาเป็นหญิงชราผมขาวโพลน นุ่งผ้าถุง นั่งยืดขาอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน ผู้ป่วยมีแผลที่เท้าด้านขวา ลักษณะผิวหนังที่เท้าแห้งลอกเป็นสะเก็ดมีแป้งสีขาวทาบางๆ บริเวณง่ามนิ้วเท้ามีแผลอักเสบ มีรอยแดง น้ำเหลืองไหลซึม ส่วนขาด้านซ้ายโดนตัดเหนือเข่า เธอเล่าว่าผู้ป่วยอยู่กับสามีตามลำพัง ลูกๆ แยกย้ายไปมีครอบครัว มาเยี่ยมเยียนแค่ครั้งคราว พี่สายพินจึงเข้าไปช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งทำแผล ดูแลสายสวนปัสสาวะ ความสะอาดร่างกาย และการช่วยเหลือด้านกิจวัตรประจำวัน เมื่อเธอติดตามผู้ป่วยไปเรื่อยๆ ก็ได้เห็นความทุกข์ที่ลึกกว่าปัญหาทางด้านสุขภาพที่ผู้ป่วยเป็น ทั้งความท้อแท้ ปัญหาเศรษฐกิจ และสิ่งของจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตที่ขาดแคลน เธอจึงพยายามหาทางช่วยเหลือให้ครบถ้วน พี่สายพินและทีมงาน อพม. รีบประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในชุมชน จัดหาอุปกรณ์ทำแผลและของใช้ที่จำเป็น พร้อมส่งต่อข้อมูลให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างครบถ้วน เธอไม่ยอมให้ความขาดแคลนทำให้ใครต้องทุกข์เพิ่ม
ค่ำวันเดียวกัน เธอโทรหาฉันอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจ เล่าถึงสิ่งที่ผู้ป่วยกำลังจะได้รับด้วยความปลื้มปีติ ฉันให้กำลังใจเธอและทีมงานอพม.ของเธอ และขอบคุณเธอสุดหัวใจ
ทว่า คืนนั้นเอง โทรศัพท์ดังขึ้น ข้อความสั้นๆ จากทีม อพม. เพียงคำว่า “หมอ…” ความรู้สึกไม่ปกติแล่นเข้ามาในความคิดทันที และฉันก็โทรกลับไป และแล้วนั่นคือสัญญาณแจ้งถึงการจากไปของพี่สายพิน ทั้งคืนฉันไม่อาจหลับตาลงได้ ภาพที่เธอส่งมาก่อนหน้ายังติดตาไม่เลือน ใครจะคิดว่านั่นคือการพูดคุยครั้งสุดท้าย
เช้าวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ข่าวกำหนดการรดน้ำศพมาถึง บ่ายวันนั้นฉันไปถึงวัดซาราษฎร์บำรุง บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ญาติพี่น้อง ลูกหลาน และทีมงานอสม. และอพม. ต่างพร้อมใจกันมาร่วมไว้อาลัย ฉันมองเห็นร่างที่นอนสงบอยู่บนเตียงไม้ น้ำตาเอ่อล้น ใครจะคิดว่าเมื่อวานเรายังคุยกันอยู่ ผู้หญิงผมทอง ริมฝีปากแดง ผู้เปี่ยมด้วยพลังใจได้จากไปแล้ว พี่สายพินจากไปเพียงร่างกายแต่คุณงามความดีในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ยากไร้ ผู้ประสบปัญหาด้านสังคม ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกคน ดิฉันมีเพียงความรู้สึกซาบซึ้ง และสำนึกในคุณค่าของพี่สายพิน ผู้ไม่เคยรังเกียจหรือปฏิเสธผู้ป่วย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพใด จะลำบากเพียงใด เธอมีแต่ความมุ่งหวังที่จะช่วยให้ทุกคนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด แม้การดูแลครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต แต่ก็เป็นครั้งที่งดงาม เต็มไปด้วยความสุขของผู้ให้ ที่เธอได้ทำด้วยหัวใจอย่างสุดสุดกำลัง และสิ่งนั้นจะยังคงส่องสว่างอยู่ในความทรงจำของทุกคน นี่แหละคือ “ความหวังที่เปี่ยมสุข” อย่างแท้จริง



