เปิดประสบการณ์ “กุฎิชีวาภิบาล” สถานดูแลพระอาพาธระยะท้าย
โดย ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
โดย ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์
นโยบายชีวาภิบาลหรือนโยบายการตายดีของรัฐบาลเพิ่งเริ่มขึ้นครบหนึ่งปีเต็ม แต่ก่อนหน้านี้มีผู้ทำ ”กุฏิชีวาภิบาล“ สถานที่ดูแลพระสงฆ์อาพาธระยะท้ายมาระยะหนึ่งแล้ว รายการ “ชีวาภิบาล : Sharing Practices” ครั้งที่ 6 เรื่อง “การดูแลพระอาพาธระยะสุดท้ายในวัด/สถานพำนักสงฆ์/กุฎิชีวาภิบาล” เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ได้เชิญวิทยากรที่มีประสบการณ์การทำกุฏิชีวาภิบาลมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งและตอกย้ำว่า ท่ามกลางสังคมสูงวัยและวิกฤตสุขภาพ ไม่เว้นแม้แต่สังคมพระสงฆ์ กุฎิชีวาภิบาลคือทางออกในการดูแลสุขภาพพระสงฆ์อาพาธระยะท้ายให้ได้รับการดูแลตามพระธรรมวินัยและเจตนารมย์ที่จะครองผ้าเหลืองในวาระสุดท้ายของชีวิต
ระบบสุขภาพกำหนดให้พระสงฆ์เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเหมือนคนทั่วไป ขณะที่พระสงฆ์เป็นผู้ที่มีวัตรปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ซึ่งมีข้อกำหนดบางข้อที่ไม่เอื้อต่อการรักษาพยาบาลทั่วไป
พระอาจารย์ภูวัต ภูริวัฑฒโน วัดท่าประชุม อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น หนึ่งในผู้จัดตั้งกุฎิชีวาภิบาลต้นแบบหรือ “ท่าประชุมโมเดล” กล่าวถึง “จุดทุกข์” ของพระสงฆ์อาพาธไว้หลายประการ เช่น การเดินทางไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลมีความยากลำบาก เนื่องจากมีข้อบัญญัติห้ามพระสงฆ์ขับรถ และข้อจำกัดทางพระธรรมวินัยทำให้ทีมแพทย์พยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงไม่คุ้นเคยกับการดูแลพระสงฆ์และกลัวทำให้พระศีลขาดหรือตัวเองบาป นอกจากนี้เมื่อพระสงฆ์ได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว เมื่อกลับวัดเพื่อพักฟื้นร่างกาย ป่วยเรื้อรัง หรือป่วยระยะท้าย ต้องมีผู้ดูแลที่มีทักษะ ซึ่งหากไม่มีผู้ดูแลที่วัด พระสงฆ์ที่อาพาธมักต้องลาสิกขา แม้ว่าจะบวชมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วก็ตาม ดังนั้นการสร้างกุฎิชีวาภิบาลในวัด เพื่อให้พระสงฆ์ที่ผ่านการฝึกทักษะผู้ดูแลหรือพระคิลานุปัฏฐาก เป็นผู้ดูแลพระอาพาธจึงเป็นทางออกที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี
“หากมีพระภิกษุอาพาธอยู่ที่วัด ควรทำกุฎิชีวาภิบาล แม้จะมีอุปสรรคมากมาย ก็ขอให้ทำ เนื่องจากเป็นเรื่องของความเมตตากรุณา และพระพุทธเจ้าทรงตรัสจนเป็นพระบัญญัติว่า พระสงฆ์เป็นผู้ออกจากเรือนแล้ว ถ้าเราไม่ดูแลซึ่งกันและกันใครเล่าจะดูแลเรา” พระภูวัตกล่าว
พระภูวัตยังกล่าวอีกว่ากุฎิชีวาภิบาลจะช่วยนำวัดกลับเป็นศูนย์กลางชุมชนอีกครั้ง โดยทำให้เกิดการรวมตัวในชุมชนผ่านประเด็นสุขภาวะ เช่น การร่วมมือกันจัดการโรคเรื้อรังในชุมชน เช่น เบาหวาน ความดัน โดยเมื่อมีพระเป็นแกนนำก็จะเกิดสุขภาวะทางกาย จิตใจ สังคมและปัญญาในชุมชน และเมื่อปัญหาใดๆ ในชุมชนเกิดขึ้น ก็สามารถหารือแก้ไขโดยใช้วัดเป็นพื้นที่กลาง
พระอาจารย์ภูวัตเล่าว่าวัดท่าประชุมเริ่มทำกุฎิชีวาภิบาลเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยใช้กระบวนการคิดแบบ Design Thinking คือการเข้าใจปัญหา กำหนดโจทย์ ระดมความคิด สร้างต้นแบบ และทดสอบ โดยช่วงปีแรกเป็นช่วงวางแผนระดมความคิด จากนั้นสร้างต้นแบบและทดสอบในปีต่อมา และเปิดกุฎิชีวาภิบาลเมื่อ 27 ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการเปิดตัวนโยบายชีวาภิบาลของรัฐบาล เป็นในอาคารชั้นเดียว มีห้องสำหรับดูแลผู้ป่วย 3 ห้อง ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาดูแลพระภิกษุอาพาธ 7 รูป มรณภาพแล้ว 3 รูป
“รูปแบบของท่าประชุมโมเดลคือการจัดทำกุฏิชีวาภิบาลทั่วไทย ด้วยการสร้างเครือข่ายผู้ดูแลที่สามารถเดินทางไปดูแลพระอาพาธที่วัดนั้นๆ แทนการให้พระอาพาธเดินทางมาหาเรา โดยเน้นการอบรมพระคิลานุปัฏฐาก สร้างระบบพี่เลี้ยงและเครือข่าย เสริมพลังให้วัดทุกวัดมีศักยภาพดูแลพระสงฆ์อาพาธระยะท้ายแบบประคับประคองตามหลักพระธรรมวินัย ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมเพื่อสังคมอย่างหนึ่ง”
พระภูวัตกล่าวว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จในการจัดตั้งกุฏิชีวาภิบาลที่วัดท่าประชุมประกอบด้วยการมีใจ มีบุญ และมีทุน โดยหากตั้งใจทำ และทำด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ เมื่อลงมือทำแล้ว ทุนจะมาเอง
“ที่ผ่านมาวัดท่าประชุมไม่ได้งบประมาณจากรัฐบาลเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ก็มีคนมีจิตศรัทธาที่มาช่วยอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อมีนโยบายชีวาภิบาลของรัฐบาล คนมักพูดถึงตึกและอาคารกุฎิชีวภิบาล ทั้งๆที่สิ่งที่จะทำให้ยั่งยืนคือการสร้างเครือข่ายผู้บริบาลที่เรียกว่า “ชีวาบริกร” ที่สามารถดูแลพระภิกษุอาพาธระยะท้ายได้ และสามารถเดินทางไปดูแลพระอาพาธได้ทั่วประเทศไทย”
พระมหาบวร ปวรธัมโม เจ้าอาวาสวัดบุญนารอบ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และผู้อำนวยการศูนย์พระคิลานุปัฏฐาก จังหวัดนครศรีธรรมราช เล่าว่าหลังจากมหาเถระสมาคมประกาศธรรมนูญพระสงฆ์แห่งชาติ ในปี 2560 วัดบุญนารอบก็ตั้งศูนย์พระคิลานุปัฏฐากจังหวัดนครศรีธรรมราชและจัดอบรมพระคิลานุอุปัฏฐากรุ่นแรกเมื่อปี 2561 รวมทั้งตั้งศูนย์ชีวาภิบาลจากกุฏิว่างหนึ่งห้อง และปัจจุบันขยายเป็น 5 ห้องใน โดยที่ผ่านมาดูแลภิกษุอาพาธและฆราวาส 15 รูป/คน มรณะภาพแล้ว 3 รูป ปัจจุบันมีพระภิกษุอาพาธ 3 รูป และฆราวาสป่วยไม่มีผู้ดูแล 2 คน โดยมีพระคิลานุปัฏฐากและอาสาสมัครในชุมชน เช่น ทีมงานอสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน) และอพม.(อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ช่วยดูแล
พระมหาบวรเล่าว่าปัจจัยสำคัญในการทำกุฎิชีวาภิบาลคือเจ้าอาวาสวัดนั้นๆ ต้องสนับสนุนและเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคอง โดยเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ผู้ดูแลจะต้องเข้ารับการอบรมพระคิลานุปัฏฐาก ส่วนสถานที่สำหรับทำกุฏิชีวาภิบาลนั้น สามารถนำกุฎิพระสงฆ์มาปรับปรุงให้มีอุปกรณ์ที่จำเป็นในการดูแล เช่น เตียง ไม้เท้า รถเข็น และเริ่มต้นเพียงห้องเดียวก็เพียงพอแล้ว
นอกเหนือจากการมีผู้ดูแลและจิตอาสา หนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญในทำกุฎิชีวภิบาล วัดบุญนารอบ คือการมีกองทุนหรือ “กองบุญ” เพื่อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์สิ้นเปลือง และให้สวัสดิการให้แก่พระสงฆ์อาพาธและผู้ดูแล ถือเป็นนิตยภัตคือเงินถวายพระสงฆ์ เพื่อเป็นปัจจัยส่วนตัวและเป็นขวัญกำลังใจ
“แม้พระสงฆ์จะได้รับการรักษาฟรีแต่เมื่อพระออกจากโรงพยาบาลแล้วมาอยู่วัด เราก็มีปัจจัยช่วยเหลือเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น โดยก่อตั้งกองบุญที่ญาติโยมและพระเป็นสมาชิก หากมีพระอาพาธ ทางวัดจะรับผิดชอบค่าสมัครสมาชิกให้ และวัดยังจัดทำสหธรรมมิกสงเคราะห์โดยรวบรวมเงิน เมื่อมีงานในวัด เช่น งานศพ และมีผู้บริจาค ในช่วงสิ้นเดือนจะนำมาจัดสรร แม้เป็นเงินไม่มาก แต่ก็เป็นการให้กำลังใจคนทำงานและผู้ป่วย” พระมหาบวรกล่าว
อนึ่งกุฎิชีวาภิบาลวัดบุญนารอบยังทำงานร่วมชุมชน โดยพระและจิตอาสาจะไปเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้าน พร้อมนำอุปกรณ์จำเป็นเช่นแพมเพิสไปให้ จัดโลงศพและฌาปนกิจศพให้ผู้ยากไร้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย รวมทั้งมีรถกุฎิชีวาภิบาลเพื่อรับส่งพระสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยในกุฎิชีวาภิบาลไปโรงพยาบาลอีกด้วย
โรงพยาบาลนางรองมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการดูแลพระสงฆ์อาพาธระยะท้าย ผ่านการสร้างระบบการดูแลที่เคารพศักดิ์ศรีและวิถีชีวิตของพระสงฆ์ ภายใต้โครงการ “ชุมชนนางรองพึ่งพา บ้านนี้มีรัก และกุฎิชีวาภิบาล” ซึ่งเป็นรูปธรรมของชุมชนกรุณา ที่เกิดขึ้นภายใต้การประสานความร่วมมือและความเชื่อมโยงระหว่างวัด ชุมชน และโรงพยาบาล
ดร.ปทมพร อภัยจิตต์ หัวหน้าศูนย์ประคับประคองและชีวาภิบาล โรงพยาบาลนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เล่าพัฒนาการ การการดูแลพระสงฆ์อาพาธในอำเภอนางรองว่า โรงพยาบาลนางรองเปิดศูนย์ประคับประคองสำหรับพระสงฆ์พระสงฆ์อาพาธแบบเรื้อรังและแบบประคับประคอง ในปี 2555 และปัจจุบันอำเภอนางรองมีคณะกรรมการสุขภาพพระสงฆ์ระดับอำเภอ เพื่อดูแลสุขภาพพระสงฆ์ให้สัมพันธ์กับวิถีชิวิตและเจตนารมณ์ของพระสงฆ์ โดยพระสงฆ์อาพาธเรื้อรังและระยะท้ายสามารถเลือกได้ว่าจะรับการรักษาที่วัด บ้าน หรือโรงพยาบาล ภายใต้การดูแลที่เหมาะสม
“เราทำโครงการ “ชุมชนนางรองพึ่งพา บ้านนี้มีรัก และกุฎิชีวาภิบาล” มาตั้งแต่ช่วงโควิด ในปี 2563 โดยทั้งฆราวาสและพระที่ป่วยเรื้อรังหรือป่วยระยะท้ายสามารถเลือกรักษาตัวที่บ้าน โรงพยาบาล หรือวัดได้ และตั้งแต่รับนโยบายชีวาภิบาลก็เกิดแนวทางปฏิบัติว่าหากพระสงฆ์อาพาธต้องการอยู่ที่บ้านในฐานะพระสงฆ์ ครอบครัวต้องดูแล โดยเรียนรู้วิธีการดูแลจากโรงพยาบาล และมีคนในชุมชน จิตอาสา และแพทย์พยาบาลไปติดตามเยี่ยมจนท่านละสังขาร ถ้าอยู่ที่วัด เจ้าอาวาสวัดก็จะมาเรียนรู้การดูแลฝึกฝนกับทีมแพทย์พยาบาล และทางโรงพยาบาลจะหาเครื่องมือที่จำเป็น มีเจ้าหน้าที่อสม.และพมอ.ไปดูแล”
ดร.ปทมพรเล่าว่าก่อนทำกุฎิชีวาภิบาล อำเภอนางรองได้ทำการศึกษาโดยการทำสัมภาษณ์รายบุคคล การสัมภาษณ์กลุ่ม และจัดทำเวทีประชาสังคม เพื่อรับฟังความคิดเห็น จากผู้มีประสบการณ์และผู้เกี่ยวข้องว่าชุมชนที่จะจัดทำกุฎิชีวาภิบาลต้องมีคุณลักษณะแบบใด ผลการศึกษาพบว่าชุมชนนั้นต้องมีองค์ประกอบ 7 ประการ คือ การแบ่งปันเวลาส่วนตัวและทรัพยากร การให้ด้วยความเมตตากรุณา มีความตั้งใจดี ควรมีขอบเขตระยะเวลาและความสัมพันธ์ ควรมีการทบทวนประเมินตัวเอง เยียวยาตัวเองเป็นระยะทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ การดูแลผู้ป่วยเป็นหน้าที่ของทุกคน และควรมีการนิเทศติดตาม
นอกจากนี้ยังจัดทำเวทีประชาคมในชุมชนแห่งหนึ่ง มีเข้าร่วม 60 คน เพื่อชี้แจงนโยบายชีวาภิบาลการดำเนินงานชีวาภิบาลและการเตรียมสถานที รับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งความคิดเห็นและความกังวลใจกรณีมีศูนย์ชีวาภิบาล พบว่ามากกว่า 80% เห็นด้วยที่จะมีกุฏิชีวาภิบาล โดยต้องมีความร่วมมือจากชุมชนและทุกหน่วยงาน
”เรากำลังเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ อีกห้าปีข้างหน้าในคน 100 คนจะมีผู้สูงอายุ 60 คน นางรองมีวัด 110 แห่ง มีพระสงฆ์ 650 รูป 60% ของพระสงฆ์เป็นผู้สูงอายุ และในจำนวนนี้ 80% มีโรคประจำตัว แสดงว่าสังคมผู้สูงอายุไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะฆราวาส แต่เกิดขึ้นในชุมชนพระสงฆ์แล้ว ถ้าไม่มีกุฎิชีวาภิบาลและไม่ฝึกให้คนดูแลตัวเองจะเกิดอะไรขึ้นกับชุมชนนางรอง” ดร.ปทมพรสรุป ซึ่งสถานการณ์ที่นางรองคือภาพสะท้อนชุมชนทั่วประเทศไทยที่ตอกย้ำว่ากุฎิชีวาภิบาลคือหนทางที่เหมาะสมในการดูแลพระสงฆ์อาพาธระยะท้าย
จะเห็นได้ว่าวิทยากรทั้งสามท่านมีแนวคิดร่วมกันว่า การก่อตั้งกุฎิชีวาภิบาลไม่ใช่เพียงการดูแลพระสงฆ์ในระยะท้าย แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูบทบาทของวัดให้กลับมาเป็นศูนย์กลางของชุมชน และสร้างชุมชนแห่งการเกื้อกูลดูแลซึ่งกันและกัน ผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ประกอบด้วย ชุมชน องค์กรศาสนา และหน่วยงานภาครัฐ เช่น หน่วยงานสาธารณสุข และหน่วยงานด้านการปกครอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้โครงการกุฎิชีวาภิบาลดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน
”ชีวาภิบาลไม่ใช่หน้าที่ของรัฐหรือใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นวิถีหรือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนที่จะรู้และเข้าใจและทำหน้าที่ต่อตัวเองและผู้อื่น ชีวาภิบาลไม่ใช่เรื่องใหม่ในชีวิตเรามันคือการสงเคราะห์กันเกื้อกูลกัน นโยบายนี้กลับมาเพื่อให้สติคนไทยว่าให้กลับมาทบทวนว่าเราดูแลตัวเองดีหรือยังและดูแลคนรอบข้างดีหรือยัง ซึ่งคือสังคมของการเกื้อกูล” ดร.ปทมพรกล่าวปิดท้าย