กองบุญฯ: ทางเลือกเพื่อความยั่งยืนในการดูแลระยะยาวของกุฏิชีวาภิบาล

โดย ศรินธร รัตน์เจริญขจร

ก่อนจะไปถึงเรื่องกองบุญฯ เราคงต้องทำความรู้จักกุฏิชีวาภิบาลกันก่อน

หลายท่านอาจจะรู้จักโรงพยาบาลสงฆ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐที่ให้การดูแลรักษาพระสงฆ์โดยเฉพาะ หรือโรงพยาบาลในต่างจังหวัดก็มีตึกสงฆ์ คำถามคือทำไมต้องมีกุฏิสงฆ์อาพาธ ที่ตอนนี้เรียกว่า “กุฏิชีวาภิบาล” อยู่ในวัดอีก

นอกจากคำตอบที่เดาได้คือจำนวนเตียงไม่เพียงพอที่จะรองรับพระอาพาธ (สถานการณ์เช่นเดียวกันกับญาติโยม) แต่คำตอบสำคัญคือด้วยสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์และบุคลากรที่เดินไปมา ซึ่งไม่เอื้อต่อการรักษาวินัยและวิถีปฏิบัติของพระสงฆ์ ยิ่งพยาบาลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง แม้ในยามอาพาธจำเป็นต้องรับการดูแลก็ตาม อย่างไรก็ไม่เหมาะสมตามหลักพระธรรมวินัย

เมื่ออ่านข้อความนี้จบแล้ว ไม่ได้หมายความว่าให้ยุบเลิกโรงพยาบาลสงฆ์หรือตึกสงฆ์แต่อย่างใด พระสงฆ์อาพาธที่ต้องรับการรักษาทางการแพทย์นั้นยังจำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล แต่ด้วยเหตุคือพระอาพาธที่ต้องรับการดูแลต่อเนื่องระยะยาว (Long Term Care-LTC) เช่น อัมพฤกษ์จาก stroke หรืออาการทุเลาลง หมออนุญาติให้ออกจากโรงพยาบาล แต่ท่านกลับถูก “ทิ้ง” ไว้ที่โรงพยาบาล เนื่องด้วยกลับมาที่วัดไม่มีคนดูแล เมื่อท่านไม่มีที่ไป ก็ต้องพึ่งสวัสดิการของฆราวาส เช่น บ้านคนไร้ที่พึ่ง แต่ไม่มีระเบียบรับพระสงฆ์ ท่านจะต้องลาสิกขา (สึก) เพื่อรับการดูแลในส่วนนี้ ซึ่งท่านอาจไม่ต้องการสึก โดยเฉพาะพระสูงอายุ บวชมาเป็นเวลานาน ไม่คุ้นเคยกับวิถีฆราวาส รวมถึงมีความต้องการจะตายใต้ร่มกาสาวพัตร์ ดังนี้แล้ว กุฏิชีวาภิบาล จึงเป็นคำตอบที่ตรงโจทย์

กุฏิชีวาภิบาล – พระดูแลพระ
พระพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่มีมารดาไม่มีบิดา พวกใดเล่าจะพึงพยาบาลพวกเธอ ถ้าพวกเธอจักไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจักพยาบาล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา ผู้นั้นพึงพยาบาลภิกษุอาพาธ…” หมายความว่า พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลสุขภาพของตนเอง พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ และสหธรรมมิก(พระสงฆ์และสามเณร) ตามหลักพระธรรมวินัย ด้วยความเอาใจใส่


คณะสงฆ์และภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพ จึงร่วมไม้ร่วมมือกันจัดทำธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนเรื่องการดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ ให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านกาย ใจ สังคมและจิตวิญญาณ โดยรูปธรรมหนึ่งคือการจัดอบรมความรู้หลักสูตรพระคิลานุปัฏฐาก เพื่อให้พระสงฆ์ตระหนักและมีความรู้เรื่องสุขภาพ สามารถดูแลสุขภาพตนเองและผู้อื่นได้ รวมทั้งธรรมนูญฯ ยังกล่าวว่าวัดควรจัดให้มีกุฏิสงฆ์อาพาธ เพื่อการดูแลภิกษุอาพาธอย่างเป็นระบบ และให้มีพระคิลานุปัฏฐากที่มีความรอบรู้เรื่องสุขภาพทุกมิติเป็นผู้ดูแล


กุฎิสงฆ์อาพาธ และการดูแลสุขภาพพระสงฆ์อาพาธ เกิดขึ้นในวัด/มูลนิธิต่างๆ หลายแห่ง เช่น สำนักสงฆ์ป่ามะขาม จังหวัดนครราชสีมา วัดห้วยยอด จังหวัดตรัง ศูนย์พุทธวิธีดูแลผู้ป่วยระยะท้าย วัดป่าโนนสะอาด จังหวัดนครราชสีมา มูลนิธิสันติภาวัน จังหวัดจันทบุรี วัดท่าประชุม จังหวัดขอนแก่น วัดบุญนารอบ จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดทับคล้อ จังหวัดพิจิตร เป็นต้น ซึ่งบางแห่งเริ่มขึ้นก่อนมีธรรมนูญฯ และหลายแห่งดำเนินการก่อนที่รัฐบาลจะประกาศนโยบายชีวาภิบาล


กุฏิชีวาภิบาล เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลประกาศให้เป็นนโยบายเร่งรัดผลลัพธ์ โดยประกาศให้มีสถานชีวาภิบาล จังหวัดละ 1 แห่ง ซึ่งกุฏิชีวาภิบาลเป็นหนึ่งในประเภทของสถานชีวาภิบาล โดยภายหลังได้เปลี่ยนเป้าหมายให้มี กุฏิชีวาภิบาลอำเภอละ 1 แห่ง


วัด สถานที่ตั้งของกุฏิชีวาภิบาล สามารถดำเนินการบริหารจัดการงานดูแลพระอาพาธได้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย โดยมีหน่วยงานสุขภาพใกล้เคียงคอยสนับสนุนความรู้และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ วัดบางแห่งเป็นศูนย์รวมอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยในชุมชนได้หยิบยืมอีกด้วย และด้วยลักษณะการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ ชีวิต ความเป็นความตาย จึงต้องมีมาตรฐานและการประเมินในการรับรองให้เป็นสถานชีวาภิบาล/กุฏิชีวาภิบาล เพื่อให้สถานะเป็นหน่วยบริการ(สุขภาพ) สามารถเบิกจ่ายงบประมาณตามระเบียบได้


ทั้งนี้ในมุมมองของสังคม อาจมองว่าวัดมีเงินเยอะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณจากรัฐก็ได้ ซึ่งเป็นความจริงส่วนหนึ่งสำหรับวัดขนาดใหญ่ที่มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่มีบารมี มีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ย่อมมีเงินทำบุญ เงินบริจาคเพียงพอที่จะดำเนินงานกุฏิชีวาภิบาลได้อย่างคล่องตัว ขณะที่วัดบางแห่งอาจมีงบไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการการดูแล การอาศัยเงินทำบุญจากญาติโยมเป็นครั้งคราวอาจทำงานได้ไม่ยั่งยืน จุดนี้เป็นข้อคำนึงถึงการดูแลพระอาพาธโดยเฉพาะที่ต้องมีการดูแลระยะยาว (LTC) และดูแลถึงระยะท้ายของชีวิต

กองบุญสังฆะเพื่อสังคม: ประกันสุขภาพแบบบ้านๆ วัดๆ
พระมหาบวร ปวรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดบุญนารอบ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ขับเคลื่อนงานตามเจตนาของธรรมนูญ ด้วยการจัดตั้งเป็น “ศูนย์พระคิลานุปัฏฐาก” ระดับจังหวัด สนับสนุนพระสงฆ์ในวัดเข้าร่วมอบรม รวมถึงเป็นเจ้าภาพจัดอบรมด้วย ปัจจุบันศูนย์พระคิลาฯ ดำเนินงานเป็นศูนย์กลางความรู้ และการจัดการดูแลเรื่องการหยิบยืมและส่งต่ออุปกรณ์ของใช้จำเป็นสำหรับผู้ป่วย นอกจากนี้ท่านยังจัดตั้ง “กองบุญสังฆะเพื่อสังคม” เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับพระสงฆ์และญาติโยมที่สมัครใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกกองบุญฯ


กองบุญสังฆะเพื่อสังคม ตั้งขึ้นเพื่อพระสงฆ์นักพัฒนาและเครือข่ายจิตอาสาในจังหวัดนครศรีธรรมราช (และจังหวัดอื่น) ปัจจุบันมีสมาชิกราว 1,500 คน โดยสมาชิกมีทั้งพระสงฆ์ (อายุ 70 ปีลงมา) และฆราวาส (อายุ 65 ปีลงมา) มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรงและไม่ทุพพลภาพ โดยกองบุญฯ กำหนดเงื่อนไขสำหรับสมาชิกคือ จะต้องสบทบกองบุญปีละ 1,000 บาทอย่างต่อเนื่อง และกำหนดสวัสดิการที่สมาชิกจะได้รับชัดเจน เช่น เป็นสมาชิกครบ 3 ปีขึ้นไป เบิกจ่ายกรณีพักรักษาตัวในโรงพยาบาลได้คืนละ 1,000 บาท ไม่เกิน 30 คืนต่อปี เป็นต้น


ปัจจุบัน วัดบุญนารอบได้รับการรับรองเป็นสถานชีวาภิบาลตามนโยบายชีวาภิบาล โดยท่านเจ้าอาวาสยังไม่พบอุปสรรคใดในการทำงาน รวมถึงเรื่องงบประมาณ เพราะท่านยังมีกองบุญฯ ดังกล่าว เป็นแหล่งงบประมาณสำคัญในการดำเนินงาน


หากพิจารณาให้ดี กองบุญนี้เปรียบเสมือนการประกันสุขภาพในรูปแบบหนึ่ง เป็นสวัสดิการในยามเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ รวมถึงกรณีเสียชีวิต แม้เงินสบทบจะไม่มาก รวมถึงสวัสดิการที่ได้รับอาจไม่ครอบคลุมการเบิกจ่ายได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเป็นรูปแบบการประกันที่เหมาะสมกับพระสงฆ์และชาวบ้าน ที่มิได้มีรายได้สูงนัก อีกทั้งยังได้ทำบุญในการดูแลสุขภาพผู้อื่นในยามที่ตนยังแข็งแรง เพราะกองบุญนี้จะหมุนเวียนในวัดเพื่อใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพพระอาพาธ รวมถึงญาติโยมที่เจ็บป่วย ต้องการที่พึ่งพิงอีกด้วย ดังนี้ กองบุญฯ จึงเป็นประโยชน์ให้การดำเนินงานกุฏิชีวาภิบาล/สถานชีวาภิบาลวัดบุญนารอบมีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป


1 ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 2 ปี พ.ศ.2566 ฉบับแรกจัดทำเมื่อปี พ.ศ.2560 และทบทวนในระยะเวลา 5 ปีตามที่ธรรมนูญกำหนด
2 พระคิลานุปัฏฐาก หมายถึง พระสงฆ์ที่ดูแลภิกษุอาพาธ และพระสงฆ์ที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนและสังคม เกิดการเรียนรู้เข้าใจในเรื่องสุขภาวะในทุกมิติ คำว่า “พระคิลานุปัฏฐาก” มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยในปัจจุบันมีคำเรียกที่ต่างกันตามหลักสูตรที่อบรม เช่น พระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด (อสว.) พระบริบาลภิกษุไข้ พระคิลานธรรม เป็นต้น ดังนั้นเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจตรงกันจึงใช้คำว่า “พระคิลานุปัฏฐาก”
3 สถานชีวาภิบาลแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ศูนย์ชีวาภิบาลในโรงพยาบาล และสถานชีวาภิบาลในชุมชน โดยสถานชีวาภิบาลในชุมชน เป็นสถานที่ให้บริการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง การดูแลประคับประคอง/ ระยะท้ายนอกสถานพยาบาล กุฏิชีวาภิบาลเป็นประเภทหนึ่งของสถานชีวาภิบาลสำหรับองค์กรพระพุทธศาสนา